สาว ๆ หนุ่ม ๆ สมัยนี้ที่กำลังเริ่มต้นทำความรู้จักกัน คงไม่ปฏิเสธว่าอาศัยเครือข่ายโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่าง “เฟซบุ๊ก” (Facebook) เป็นตัวช่วยสานความสัมพันธ์ให้ได้รู้จักกันมากขึ้น และปฏิเสธไม่ออกอีกว่า ในครั้งแรกที่แลกเฟซบุ๊กและกดตอบรับซึ่งกันและกันเป็นเพื่อน แทบทุกคนต้องเข้าไปย้อนดูว่าอีกฝ่ายเคยโพสต์ข้อความอะไรไว้ ในอัลบั้มมีรูปอะไรบ้าง ฯลฯ ซึ่งก็ถือว่าเป็นหนทางการศึกษานิสัยและรสนิยมของอีกฝ่ายได้ในระดับหนึ่ง และดูท่าทางคู่ที่จีบกันจนเป็นแฟนผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กแบบนี้ ก็คงจะมีอยู่ไม่น้อย
แต่ อ๊ะ ๆ ๆ !! อะไร ๆ มันไม่ได้ง่ายไปหมดขนาดนั้นครับ ดาบยังมีสองคม เฟซบุ๊กเองก็มีทั้งประโยชน์และโทษเช่นกัน เมื่อแรกรักมันอาจเป็นตัวช่วยสานความสัมพันธ์ ให้ได้ทักทายกันกิ๊วก๊าวน่ารัก ๆ แชร์เพลงแทนใจแลกกันฟัง หรือโพสต์ข้อความชวนฝันหวานส่งอีกฝ่ายเข้านอน แต่นาน ๆ เข้ามันก็กลายจากเครื่องมือสานรัก กลายเป็นเครื่องมือที่ทำให้รักเริ่มมีรอยร้าวได้อย่างไม่น่าเชื่อ (แต่ก็ต้องเชื่อ) เลยล่ะ ว่าแต่จะเป็นวิธีไหนบ้างมาดูกัน…
1. รูปถ่ายคู่กับแฟนเก่า เท่านี้ก็เป็นเรื่อง
หากมันเป็นรูปที่มาจากอัลบั้มของคุณเองคงไม่เท่าไหร่ เพราะคุณคงเข้าไปจัดการลบทิ้งได้ด้วยตัวเอง แต่หากวันดีคืนดีเพื่อนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ของคุณ หวังดีแท็กรูปที่พาแฟนเก่าไปเที่ยวกันกับกลุ่มเพื่อนเมื่อครั้งกระนู้น สมัยที่ยังหวานจ๋อยจี๋จ๋ากันอยู่มาให้ คิดดูเถอะว่าหวานใจคนปัจจุบัน ร้อยทั้งร้อยถ้าเห็นรูปคนรักตัวเองอิงแอบแนบไหล่ หรือกุมมือมองตากันหวานเชื่อมกับหนุ่มหรือสาวคนอื่นแล้วล่ะก็ ต่อให้เป็นคนมีเหตุผลมาขนาดไหนก็คงมีปรี๊ดแตกกันได้ง่าย ๆ ถึงไม่ปรี๊ดแตกวันนี้ ก็คงกลายเป็นเรื่องฝังใจที่อีกฝ่ายต้องเก็บไปคิดแน่นอน หากไม่ดูแลดี ๆ อนาคตความรักคงชักจะสั่นคลอนซะแล้วล่ะ
2. สถานะรูปแบบความสัมพันธ์
บางคนอาจจะไม่จริงจังกับการตั้งสถานะ relationship บนเฟซบุ๊ก แต่บางคนเค้าก็คิดเป็นจริงเป็นจังนะ อย่างใครที่คบกันแล้ว แต่ไม่ยอมเปลี่ยนสถานะในเฟซบุ๊กว่ากำลังคบหาดูใจกันอยู่ อาจจะโดนท้วงติงแกมโกรธว่า ทำไมเธอไม่ยอมบอกว่าคบกับชั้นแล้วล่ะ มีความลับอะไรหรือไง ทำไมไม่อยากให้คนอื่นรู้ ฮึ! … แหม ขนาดเป็นแค่โลกอินเทอร์เน็ตแต่ก็เก็บมาทะเลาะกันจริง ๆ ได้นะเนี่ย เดี๋ยวกลับไปเปลี่ยนว่า in relationship and it’s complicated ก็แล้วกัน !!
3. แค่ทักทายก็หาว่าเจ้าชู้
ก็คนมันเพื่อนเยอะ แถมมนุษย์สัมพันธ์ดี จะโพสต์ข้อความไปทักทายกันบ้างก็ไม่แปลก แต่มันอาจเป็นเรื่องได้หากอีกฝ่ายคือเพศตรงข้าม แล้วคุณดันไปโพสต์ข้อความเป็นต้นว่า “คิดถึงจัง” หรือ “ไว้หาเวลามากินข้าวกันนะ” หรือคอมเมนท์ใต้รูปอีกฝ่ายว่า “น่าร๊ากกกอ้ะ” ไม่ว่าจะตั้งใจหมายความอย่างนั้นจริง ๆ หรือไม่ หรือทักทายไปตามมารยาทเพื่อนที่ดี แต่รับรองเหอะว่าแฟนคุณมาอ่าน เค้าก็ตีความในแง่ลบไปหมดแหละ นี่แอบไปมีกิ๊กใช่ไหม ทำไมต้องไปจ๊ะจ๋ากับเขาอย่างนั้น .. โอย ท่าทางปัญหาจะเริ่มก่อตัว
4. เป็นเพื่อนกับแฟนเก่าในเฟซบุ๊กก็ผิด
แฟนเก่า? เลิกกันไปแล้ว? … แล้วทำไมยังเขายังอยู่ในรายชื่อเพื่อนในเฟซบุ๊กอีกล่ะ ลบไปสิ จะได้ไม่ต้องคุยกันอีก ที่ไม่ลบนี่ รอเวลากลับไปคืนดีกันใช่ไหม โอ้ย ๆ คิดไปได้เป็นตุเป็นตะกันจริง ๆ แต่ก็ขอบอกว่าคนที่คิดแบบนี้มีอยู่จริง ๆ นะ อาจจะเพราะรักเพราะหวงก็เลยอยากให้ตัดให้ขาด แต่ใช่ว่าคนเราแค่ไม่รักกันแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องขาดแล้วขาดเลย เลิกเป็นเพื่อนเลิกติดต่อกันเสมอไปนี่นา แต่เรื่องอย่างนี้คงอธิบายให้เข้าใจกันยาก…นี่ไง ความยุ่งยากของชีวิตรักที่มาจากเฟซบุ๊กอีกข้อหนึ่งล่ะ
5. โลกอินเทอร์เน็ตก็แค่จินตนาการ (แต่เธอไม่เข้าใจ)
บางครั้งบางคราวเราก็นึกสนุกอยากจะกุ๊กกิ๊กจิ๊จ๊ะกับเพื่อนขึ้นมา อารมณ์ว่าแกล้งหยอกแกล้งหยอดกันเล่น ๆ ไม่ต่างอะไรกับการเล่นพ่อแม่ลูกของเด็ก ๆ ตอนเล่นก็เป็นคุณพ่อคุณแม่ พอเล่นเสร็จก็กลับสู่โลกแห่งความจริง แต่บ่อยครั้งคนที่เราคบอยู่เขาไม่สนุกด้วย ยิ่งได้เห็นข้อความจ๊ะจ๋าที่ส่งมาทักทายกันสนุก ๆ ให้ผ่านหูผ่านตา แต่ว่าไม่ปล่อยให้ผ่านใจ เก็บไปคิดมากจนหงุดหงิด จุดชนวนให้เกิดการเข้าใจผิด กลายเป็นเรื่องชวนทะเลาะกันได้อีก เฮ้อ…ซวยอีกแล้ว
เอาละสิทีนี้ ทำเอาคนใช้เฟซบุ๊กหนาว ๆ ร้อน ๆ อยู่ไม่น้อยเหมือนกัน จะทำอะไรก็ระวัง ๆ กันหน่อยแล้วกันครับ ถึงจะบริสุทธิ์ใจแต่ก็อาจโดนเข้าใจผิด คิดน้อยใจ กลายเป็นชวนทะเลาะ ได้ง่าย ๆ เหมือนกัน เอ้า ทำหน้าไม่เชื่ออีก แล้วจะหาว่าไม่เตือนนะจ๊ะ!