การล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
หลังจากพรรคนาซี ได้ยึดครองอำนาจได้ทั้งหมด ฮิตเลอร์จึงก่อตั้ง หน่วย SS (Schutzstaffel) ขึ้นมาในปี ค.ศ.๑๙๒๗ โดยมี ไฮน์ริก ฮิมเลอร์(Heinrich Himmler) เป็นรองผู้นำ ซึ่งถือว่าเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจพอที่จะคานอำนาจกับหน่วยพิเศษ เกสตาโป ซึ่งเป็นหน่วยที่มีอำนาจที่สุดในสมัยนั้น แต่หน่วยงาน SS นี้พิเศษกว่าในด้านการซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อฮิตเลอร์เพียงผู้เดียวเท่า นั้น
จนกระทั่งปี ค.ศ.๑๙๒๕ ฮิมเลอร์จึงได้เข้าเป็นผู้นำสูงสุดแทนฮิตเลอร์ในขณะที่ฮิตเลอร์เป็นนายก รัฐมนตรีของเยอรมันเรียบร้อยแล้ว
ทว่า หลังจากนี้เป็นต้นไป นี่คือจุดเริ่มแห่งฝันร้ายของมวลมนุษย์ที่เพิ่งจะเริ่มอีกครั้ง เพราะหลังจากที่ฮิตเลอร์เข้ามามีอำนาจในการบริหารประเทศ เขาไม่รีรอเลยที่จะนำนโยบายที่เขามีมาใช้ นั่นคือ การกำจัดเชื้อชาติที่ไม่มีประโยชน์ต่อโลกใบนี้ นอกเหนือจากชาวอารยันที่มีเชื้อบริสุทธิ์และชาญฉลาดเท่านั้น
หมายความถึงชาวยิวที่มีหลายสัญชาติ ชาวสลาฟ และ ยิบซีต่างๆ ที่กระจายตามยุโรป กำลังจะถูกตามล่าซึ่งแน่นอน คณะรัฐบาลและฝ่ายต่อต้านนาซีหรือกลุ่ม แอนตี้นาซี ออกมาเรียกร้อง โดยเฉพาะ หน่วย SA(Sturmabteilung) ซึ่งเป็นหน่วยคู่ขนานของหน่วยเอสเอส และมีทีท่าว่าจะต่อต้านนาซีตลอดเวลา
แต่ก็ได้แค่นั้น เพราะฮิตเลอร์ มีแผนการณ์ที่จะสังหารผู้นำระดับสูงซึ่งมีการประชุมกันระหว่างพรรค นาซีที่จัดขึ้นที่ *แบด เวสส์ (Bad Wiesse)* ในแคว้น บาวาเรีย โดยการกำจัดหน่วย SA ที่ถูกคุมตัวในคืนเดียวถึง ๖๕๐ศพ (อย่างไม่เป็นทางการ) จนเป็นที่จดจำกันในประวัติศาสตร์ของคนในเยอร์มันของคืน ราตรีแห่งการลอบสังหารอย่างไม่หยุดยั้ง หรือ Night of the long Knives นั่นคือการสังหารอย่างฉาบฉวยและไม่ปิดบังอะไรกันเลย
กล่าวคือ ก่อนที่ฮิตลอร์จะสังหารชาวยิว เขาทำลายล้างพลพรรคพวกเดียวกันกับเขาก่อน เพื่อทดสอบจิตใจของทหารในสังกัด SS ของเขา
เริ่มต้นฆาตกรรมระดับโลก
ปีค.ศ.๑๙๓๘ นาซีได้โอกาศในการสังหารชาวยิวกลุ่มแรกสุดนั่นคือ ชาวยิวเชื้อสายโปแลนด์ด้วยการนำชาวยิวเชื้อสายโปแลนด์ที่ถูกถอนสัญชาติจาก โปแลนด์ไปที่ค่ายคาดู โดยอ้างเหตุผลว่า เพื่อนำไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้น
แต่เมื่อไปถึงชายแดนดังกล่าว นาซีได้โอกาศสาดกระสุนปืน เข้าใส่ทันทีในจำนวนชาวยิวที่มีถึง ๑๗,๐๐๐ คนต้องดับดิ้นไม่ว่าจะเป็นบุรุษเพศ สตรีเพศ เด็กและคนชราอย่างไร้ความปราณี
ต่อ มาหลังจากการสังหารหมู่ครั้งแรกเมื่อปี ๑๙๓๘ ทหารคนสนิทของฮิตเลอร์ รีนฮาร์ด เฮย์ดริช ได้โอกาศทำลายล้างชาวยิวนอกจากชีวิตด้วยการอ้างถึงเด็กหนุ่มชาวยิวนายหนึ่ง ที่ลอบสังหารเอกอัครราชทูตของเยอรมัน แต่กลับพลาดไปสังหารผู้ช่วยของเขา ทำให้เหตุการณ์ในสถานทูตเกิดความวุ่นวายพักหนึ่ง แต่ก็สงบลงเพราะเด็กหนุ่มผูนั้นถูกจับกุมตัว
เมื่อเห็นว่านาซีกำลังถูกต่อต้านโดยชาวยิว เฮย์ดริช จึงสั่งให้มีการลอบวางเพลิงในโบสถ์ชาวยิวทั้งเยอรมัน โดยมีคำสั่งมิให้ช่วยดับไฟ แต่ถ้าหากไฟลามไปถึงบ้านของคนเยอรมันก็ให้ช่วยดับ ทำให้ประเมินค่าความเสียหายออกมาได้ถึง3ล้านปอนด์ในสมัยเมื่อ ๖๐ กว่าปีที่แล้ว แต่เมื่อนำมาเทียบกับสมัยนี้ อาจมหาศาลถึงหนึ่งหมื่นล้านบาทได้
นอกเหนือจากนั้น อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ยังเป็นผู้สนับสนุนให้มีการจัดตั้ง สำนักงานผู้อพยบเชื้อสายยิว (Office of Jewish Emigration) ขึ้นในกรุงเวียนนา-ออสเตรีย
โดยมีการเก็บเงินเพื่อรับรองความปลอดภัยของชาวยิวที่มา จ่ายทรัพย์สินเพื่อความปลอดภัยของตนเอง ซึ่งวิธีนี้สร้างความมั่งคั่งให้นาซีมหาศาลจน รินฮาร์ด เฮย์ดริช ขออนุมัติการสร้างสาขาที่2ในกรุงปราก ในประเทศ เชคโกสะโลวาเกียอีกแห่ง
นอกเหนือจากนั้น นาซียังได้ส่งกองกำลังไปรุกรานโปแลนด์อย่างบ้าคลั่งในหลังจากการปะทะกันใน วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๑๙๓๙ แม้ว่าฮิตเลอร์จะมิได้สั่งการก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นผลงานของเขาทั้งสิ้นด้วยหลักฐานจาก แบร์ลีน ดอกคูเมนท์ เซนเตอร์ (Berlin Document Center) แหล่งเก็บข้อมูลของเอสเอสและนาซีนั่นเอง และใช้เวลาเพียง ๓ วันก็สามารถควบคุมเมืองหลวสงของโปแลนด์ได้ไม่ยากเย็นนัก
เพราะนาซีมีรถถังที่สมัยนั้นถือว่าเป็นรถถังที่ดีที่ สุดของยุค ว่าด้วยความถึกและความแรงของปืนที่เหนือกว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ว่าจะเป็นใครก็ ตามต้องยอมศิโรราบ ป้อมปืนเป็นเหล็กที่นำมาหล่อเป็นชิ้นเดียวตัวรถมีการลาดเอียงที่ดี จนมิต้องสงสัยว่าทำไมนาซีถึงบุกเมืองหลวงง่ายดังพลิกฝ่ามือนัก
โครงการสร้างชาวอารยันสายเลือดบริสุทธิ์
เพื่อให้เยอรมันเต็มไปด้วยชาวอารยันที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ที่แท้จริง ฮิตเลอร์ ออกคำสั่งให้ฮิมเลอร์ ริเริ่มการสร้างโครงการ * ผลิตสายเลือดชาวอารยันบริสุทธิ์*ที่มีชื่อว่า แลเบ็นสบอร์น (Lebensborn) ในปีค.ศ.๑๙๓๓
ซึ่งเป็นโครงการที่สนับสนุนให้ชาวเยอรมันมีลูกกันได้โดยที่ไม่ต้องคุมกำเนิด สนับสนุนการหย่าร้างกับคู่รักที่ไม่สามารถมีบุตรได้อย่างง่ายดาย เพื่อไปหาคู่อื่น เพื่อการขยายเผ่าพันธุ์อย่างเต็มที่ (ดูคล้ายกันกับยุคของจอมพล แปลก พิบูรณ์สงครามเลยขอรับ)
นอกจากนั้นยังมีการรับฝากเลี้ยงเด็ก โดยสร้างบ้านของโครงการแลเบ็นสบอร์น จนทั่วเยอรมัน โดยจะฝากให้รัฐบาลเลี้ยงหรือโอนกรรมสิทธิ์ให้รัฐบาลเลยก็ได้
นี่คือยุทธวิธีที่สร้างความอัปยศที่สุดอย่างหนึ่งของชาวเยอรมัน เพราะเด็กที่เกิดมาและอยู่ในความดูแลของรัฐบาลนาซี เมื่อมาถึงปัจจุบัน เด็กที่เกิดขึ้นจากโครงการนี้อายุจะเฉลี่ยประมาณ ๖๐-๗๐ปี กลับต้องดำรงชีวิตอย่างหลบๆซ่อนๆเพื่อมิให้ชาวโลกรับรูว่าตนคือผลผลิตแห่ง ความอัปยศของนาซี กลุ่มบุคคลที่โลกตราหน้าและเกลียดชังที่สุด
นี่คือ ๑ ในเรื่องราวที่ไม่มีใครคาดถึงและเป็นผลกระทบมาจากแนวคิดแบบพิศดาร แต่เรื่องจริงๆนั่นก็คือ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ กระหายที่จะครองโลก ให้ได้จริงๆ
ฮิตเลอร์กับค่ายมรณะ (Extermination Camp)
ช่วงทศวรรษที่ ๑๙๓๐-๑๙๔๐ ฮิตเลอร์ได้สร้างความวุ่นวายจนทั่วซะแล้ว มีการออกคำสั่งให้สร้างค่ายล้างเผ่าพันธุ์เพิ่มขึ้นอีก ๑๓ แห่งในเยอรมัน โดยแต่ละค่ายจะคิดค้นวิธีสังหารหมู่โดยทำเวลาได้เร็วและโหดเหี้ยมที่สุดเท่า ที่มนุษย์จะคิดค้นได้
เอาชวิตซ์ คือ ค่ายที่โหดร้ายที่สุดแห่งหนึ่ง โดยค่ายนี้ มีการทรมานนักโทษแทบทุกทาง เช่น การนำชาวยิวไปรวมกันในห้องห้องหนึ่ง แต่เมื่อถึงเวลา พื้นข้างใต้ของห้องกลับเป็น เตาหลอม (Cremation Ovens) เมื่อเปิดออกมา ร่างของชาวยิวจะตกลงไปในเตาหลอมอันร้อนและไม่ต่างไปจากไฟนรก เพื่อทำการ ฌาปณกิจในช่วงเดียวกันทันที
บางครั้งก็รมแก็สพิษเพื่อให้ตายในทันทีโดยมิได้ส่งเสียงแต่อย่างไรโดยใช้กรด เหลว ซี คลอน บี (Zy klon-B) ซึ่งมีลักษณะเป็นประกายมาใช้สังหารหมู่ การรมแก็สพิษ นั้น สามารถสังหารชาวยิวได้ถึง ๒๐๐๐ คนในห้องนั้น โดยใช้เวลาเพียงแค่ ๑๐-๒๐ นาทีเท่านั้น
ทำให้ค่าย เอาชวิสซ์ สามารถทำตัวเลขสังหารหมู่ได้มากกว่าค่าย เทร็บลิงก้าถึง ๑๐ เท่าจนเป็นที่ลือลั่นกันในหมู่ของนาซี นอกเหนือจากนั้น นาซียังมีรายได้พิเศษจากการตัดชิ้นส่วนและสิ่งของที่ติดอยู่ในร่างกายอันไร้ ชีพของชาวยิว ไม่ว่าจะเป็นสร้อยคอ จี้ ต่างหู และแหวนเพชร รวมไปถึงฟันทองที่ติดอยู่กับศพ จะถูกทำการเลาะออกอย่างเร็วไวทันที
นอกเหนือจากนั้น ศพของสตรีเพศชาวยิว จะถูกกล้อนผมอันยาวของพวกเธอและนำเส้นผมไปถักเป็นถุงเท้าสำหรับลูกเรือดำน้ำ ซึ่งนั้นคือ ลูกเรือของ เรือ ยู (U Boat)
เทรปลิงก้า ๑ ใน ๓ ค่ายที่โหดเป็นอันดับ ๒ รองจากเอาชวิตต์ แม้ว่าตัวเลขยอดสังหารจะน้อยก็ตามที แต่ขึ้นชื่อในวิธีการสังหารที่มุทะลุ โหดเหี้ยมที่สุดใน ๑๖ ค่ายในเยอรมัน ยกตัวอย่างเช่น การใช้ปืนยิงกรอกปากสดๆ ฟาดด้วยพานท้ายปืนและถีบจนตกลงไปในร่อง และที่โหดที่สุดคือการถลกหนังศีรษะชาวยิวและนำมาทำเป็นโคมไฟ
ค่ายมรณะ คาดู เป็นค่ายแห่งแรกของนาซีที่สร้างมายุคแรกๆ แต่ผู้ใช้กลุ่มแรกกลับเป็นชาวเยอรมันด้วยกันเองนั่นคือ กลุ่ม เอสเอ ซึ่งเป็นกลุ่มต่อต้านลัทธินาซี จนถูกนำตัวมาสังหารในค่าย
วิธีการสังหารค่ายนี้กินเวลามากที่สุด แต่ก็ทรมานที่สุดเหมือนกัน เพราะค่ายนี้จะมีวิธีการสังหารนั่นคือ ปล่อยให้อดอาหารจนกระทั่งตายไปนั่นเอง
ความโหดร้ายอันเป็นตำนานสืบต่อมาของวงการแพทย์
ชาวยิวในค่ายนี้นอกจากจะต้องมาถูกสังหารแล้ว พวกเขามีหน้าที่เป็นหนูทดลองให้กับการแพทย์ของนาซีด้วย
แต่ละวันจะมีการทดลองอันน่าขยะแขยง ทั้งนี้เพื่อความต้องการของนาซีในการที่จะเป็นเจ้า ผู้ครองโลก
ด้วยการนำของ โจเซฟ เมงเกเล หัวหน้าแพทย์ของเอาชวิตซ์ จะทำการฉีดสารพิษเข้าที่ลูกนัยส์ตาของคนทดลองเพื่อดูผลว่าสารพิษจะทำ ปฏิกิริยาอย่างใด การนำศพของชาวยิว มาปะติด เพื่อสร้างมนุษย์ทดลองรายใหม่ หรือการฉีกสารกระตุ้นกล้ามเนื้อเพื่อให้มีกำลังมาก แต่กลับเกิดภาวะการเปลี่ยนแปลงของกล้ามเนื้อฉับพลัน จนเกิดการระเบิดของกล้ามเนื้อซะได้ โดยการออกคำสั่งของ ไฮร์ริก ฮิมเลอร์ ผู้กระตือรือร้นในการรู้ความลับของร่างกายมนุษย์
แต่นอกเหนือจากนี้ ฮิตเลอร์ยังถือว่าเป็นคนที่น่าชื่นชมในเรื่องของการดูแลเอาใจใส่พรรกพวกนาซี เหมือนกัน เพราะแม้วาระสุดท้ายของเขา ฮิมเลอร์ก็ยังสร้างสวนสมุนไพร เพื่อนำไปใช้รักษาทหารนาซีที่ป่วยและบาดเจ็บอยู่ด้วย
จนกระทั่ง ในเดือนกรกฏาคม ค.ศ.๑๙๔๔ ฮิตเลอร์หวิดที่จะสิ้นชื่อจากการถูกลอบสังหารด้วยผู้นำทหารระดับสูงอย่าง เค้าท์ คลอส วอน สตารฟ เฟนเบอร์ก (Count Claus Von Starffenberg) แต่กลับรอดมาได้อย่างเหลือเชื่อ แต่ก็ทำให้ฮิตเลอร์หมดความเชื่อถือในตัวของทหารนาซีด้วยกันนอกจาก ไฮร์ริก ฮิมเลอร์ ฮิตเลอร์จึงออกคำสั่งให้ฮิมเลอร์ สร้างกองกำลังสำรอง ดำรงตำแหน่ง ผู้นำ *กองทัพสำรอง*(Reserve Army) เป็นการเร่งด่วน
วาระสุดท้ายของอสูรสงครามนาซี
เมื่อกองทัพสัมพันธมิตร ยกพลขึ้นบกในวัน ดี-เดย์จนสามารถเอาชัยเหนือนาซีได้ โดยการประชิดเมืองเบอร์ลิน ฮิตเลอร์ซึ่งล่วงรู้ชะตากรรมของเขาเองจึงได้ตัดสินใจแต่งงานกับเอวา บราวด์ ในวันที่ ๒๑ เมษายน ๑๙๔๕ และฆ่าตัวตายในเช้าของวันต่อมานั่นเอง
การตายของฮิตเลอร์สร้างความสับสนให้กองทัพนาซีนัก และอีกเพียงไม่นานนัก บรรดาผู้นำระดับสูงของเกสตาโปและเอสเอสต้องกระจัดกระจายไป
ไฮน์ริก ฮิมเลอร์ ซึ่งหลบหนีไปได้และปลอมชื่อเป็น ไฮน์ริก ฮิตซิงเกอร์และเข้าไปปะปนกับกลุ่มผู้อพยบ แต่ต่อมาก็ถูกจับได้ และฆ่าตัวตายก่อนที่เขาจะถูกตัดสินในวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๑๙๔๕ หลังจากการมรณะกรรมของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้เป็นนายเพียง ๓๔ วันพอดี และร่างของ ฮิมเลอร์ถูกฝังแบบลวกๆในป่าใกล้เมือง ลูนเบิอร์ก (Luneburg) โดยไม่มีป้ายหลุมศพ เหมือนกับศพไร้ญาติอย่างไรอย่างนั้น
สุดท้ายกลับมีเพียงคนเดียวที่รอดไปได้ เขาคือ *อดอล์ฟ ไอค์เมินน์ * ซึ่งหลบหนีการจับกุมตัวถึง ๑๐ กว่าปี ตั้งแต่ปี ๑๙๔๕ โดยที่เขาถูกจับ แต่ก็ถูกปล่อยตัวเพราะเขาอ้างว่าเป็นนักบินในกองทัพของเยอรมัน ทำให้ไม่มีใครสนใจและปล่อยตัวไป
แต่ต่อมา เขาก็ถูกจับขึ้นศาลในวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๑๙๖๑ โดยรัฐบาลยิวแจ้งข้อหาไว้ถึง ๑๕ คดีเช่น มีส่วนร่วมในการสังหารชาวยิวถึง ๖ ล้านคน สังหารยิปซีถึง ๑,๕๐๐ คน สั่งสังหารเด็กอีกกว่า ๑๐๐ ศพ ซึ่งแม้เขาจะแก้ต่างอย่างไรก็ไม่สามารถแก้ตัวได้ ท้ายสุด คืนวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๑๙๖๑ เวลา ๒๓:๕๓ นาที อดอล์ฟ ไอค์เมินน์ ถูกประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ ในเรือนจำ แรมเลห์ ซึ่งตั้งอยู่นอกกรุงเทลอาวีฟ เมืองหลวงประเทศอิสราเอล
เป็นการจบฉาก อสูรแห่งนาซีทั้งหมดด้วยความตายที่สาสมไหมขอรับ กับความตายของชาวยิวเรือน ๖ ล้านคน กระนั้นก็ตาม ผ่านไป ๖ ทศวรรษแล้ว เรื่องราวการสังหารโหดชาวยิวนั้นจะ ต้องตราตึงไว้กับโลกนี้ตลอดกาล
มีข่าวลือกันมาเมื่อหลายปีก่อนว่า มีการก่อตั้งหน่วย*นีโอ นาซี*ซึ่งว่ากันว่า ผู้ก่อตั้งคือฮิตเลอร์ ที่ยังมีชีวิตอยู่จริงๆ เพราะฮิตเลอร์ที่ฆ่าตัวตายพร้อมอีวา บราวด์ คือตัวปลอม และฮิตเลอร์มีตัวปลอมอีกนับสิบๆคน
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หากเขายังมีชีวิตอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งของโลก เขาจะรับรู้ความแค้นบ้างหรือไม่ โดยเฉพาะ ชาวยิว ชาวโปล คนผิวดำที่ถูกสังหารขณะที่นาซีเรืองอำนาจ พวกเขาจะคิดอย่างไร เราไม่สามารถรับรู้ได้
สุดท้ายแล้ว อสูรนาซีจักต้องล้มลงเพราะแพ้ภัยตนเอง
ภัยที่ทำให้กับคนอื่น ชาติอื่นจะต้องตราตึงชื่อของเขาว่าตลอดกาล
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ แอนตี้ ไครส์แห่งอาณาจักร ไรซ์
Love Attack เทศกาลความรักแบบนี้ บอกอ้อมๆให้เขารู้กัน
Chocolate Dreams สาวชั่งฝันและช็อคโกแลต กับหนุ่มหล่อ ไม่แน่คุณอาจจะได้เจอแบบนี้ก็ได้
Love You Like Crazy เพลงเพราะๆ ที่ถ้าส่งให้คนที่เรารัก โลกนี้ก็สีชมพูกันทีเดียว