เข้าใจทุกข์อย่างซื่อตรง
เมื่อใดที่เราเข้าใจถึงความทุกข์อันถ่องแท้ เห็นความทุกข์แจ่มแจ้งชัดเจน
เมื่อนั้นแล้วทุกข์ก็จะหยุดมาเยี่ยมเยียน ทุกข์ก็จะกลายเป็นประตูสู่แดนนิพพานแต่มนุษย์ไม่ยอมเห็นสักทีแม้เราจะพูดถึงคำนี้แล้วเราก็ยังหวาดหวั่นและกลัวกับความทุกข์อยู่ดี ทุกข์น่ากลัวหรือ (น่ากลัว)ทั้งที่รูปร่างทุกข์มีหรือเปล่า (ไม่มี) ทำร้ายเราเจ็บไหม (เจ็บ) ไม่มีรูปร่างแล้วทำร้ายเจ็บไหมน่าจะไม่เจ็บใช่หรือไม่ แต่ใจเราชอบไปขวางทุกข์เราขอยกตัวอย่างง่ายๆ หากทุกข์มา ใจเราก็เหมือนอยากลองดี โดนสักหน่อยจะเป็นไร ใช่หรือไม่ เขาไม่รักก็น่าจะทำใจว่าช่างเขาเถอะ แต่ก็ยังดื้อดึงจะให้เขารักจนได้ แล้วเป็นอย่างไร ก็เป็นทุกข์ใช่หรือไม่
อย่าลืมว่า ฟ้ามักจะตัดส่วนที่เกินและเพิ่มส่วนที่ขาด
ฉะนั้นอะไรที่มันเกินออกจากใจเรา เขาไม่ต้องการ เรารีบตัดเสีย อย่าให้คนอื่นตัดเลยถูกไหม คนอื่นตัดเราเจ็บ เราตัดเสียแต่เนิ่นๆ เราจะไม่เจ็บมากเท่าไร เมื่อรู้อย่างนี้แล้วเราต้องมีความเข้าใจและเชื่อมั่น แต่เข้าใจและเชื่อมั่นตัวนี้หรือใจนี้ดี (ตัว, ใจ)
ทำไมต้องเชื่อมั่นทั้งตัวนี้และใจนี้ล่ะ
คนที่สู้รบปรบมือไม่ใช่กายแต่คือใจใช่หรือไม่ คนที่รับว่าสุขหรือทุกข์ไม่ใช่กายแต่คือใจก่อน ฉะนั้น ให้กายเป็นนาย ใจเป็นบ่าวได้ใหม (ไม่ได้) ใจต้องเป็น (นาย) กายต้องเป็น (บ่าว) เมื่อใจเป็นนาย เราก็ต้องรักนายของเราและเชื่อมั่นในนายของเรานี้ นายของเรานี้ต้องมีอะไรต่อสู้กับทุกข์ (มีขันติ อดทน ความทุกข์เป็นบ่อเกิดของปัญญา) เอาใจไปสู้กับทุกข์อย่างไร
เมื่อสักครู่เราบอกต้องเข้าใจและเชื่อมั่นใจของเราใช่หรือไม่
เข้าใจอะไร เข้าใจตนเองหรือเข้าใจผู้อื่นหรือเข้าใจสถานการณ์ที่ต้องเจอ (เข้าใจทุกอย่าง) ถูกต้อง ต้องเข้าใจทุกอย่าง แล้วเชื่อมั่นอะไร(เชื่อมั่นใจของเรา) เชื่อมั่นในใจของเราว่า หากเราเข้าใจแล้วเราย่อมสามารถเอาชนะทุกข์ได้ หากเรามองออกแล้ว เราย่อมมีปัญญาเอาชนะทุกข์ได้ แก้ไขทุกข์ได้ การแก้ไขนั้นแก้อย่างไร ให้ใจนี้ออกไปทางสร้างสรรค์ เมื่อยามทุกข์มาเราต้องยิ้มสู้ เมื่อยามลำบากมาเราต้องฮึดสู้
แต่ความเชื่อมั่นและความเข้าใจจะเกิดได้ด้วยจิต
จิตนั้นต้องชื่อตรง เรามักจะใจลำเอียง ใจเบี่ยงเบน ใจที่มีความรู้แบบเข้าข้างตัวเองทำให้แม้ใจสู้ก็กลับเอาชนะทุกข์ไม่ได้ เพราะสิ่งที่เราเข้าใจนั้นบิดเบี้ยวเพราะว่าที่เราตัดสินว่าทางนี้คือทางออก เป็นทางที่เราเข้าข้างตนฉะนั้นถึงแม้จะพูดมาทั้งหลายทั้งมวล เริ่มต้นก็คือใจต้องสะอาด บริสุทธิ์ ไม่ว่าจะเจอสิ่งใด ไม่ว่าจะเจอคนแบบไหน ไม่ว่าจะเจออุปสรรคมากมายเพียงใด เรากลับมายืนแล้วมองที่ใจด้วยความสะอาด บริสุทธิ์ และซื่อตรงเป็นหลัก
ทำไมเขาจึงว่าเราเช่นนี้ ทำไมเราจึงทุกข์เช่นนี้
ลองหยุดมองที่ใจของเราดู ใจเราเอียงไหม ใจเราเห็นแก่ตัวหรือเปล่า ใจเรายึดมั่นเกินไปไหม ใจเรารักตัวเองมากเกินไปหรือเปล่า ใจเราเกลียดเขาหรือไม่ เมื่อความชื่อตรงมีอยู่ในใจ ความเข้าใจจะแจ่มชัด เมื่อความเข้าใจแจ่มชัด ความมุ่งมั่นหรือการจะทำสิ่งใดย่อมมีอันสำเร็จได้
ฉะนั้นก่อนจะไปเจอทุกข์ ก่อนจะไปเจอสุข ก่อนจะไปเจอเรื่องราวโลกหลายหลากนั้น สำคัญที่สุดคือผู้นำของเรา ผู้นำที่เรายกให้เป็นนายของเรานี่แหละ มีความชื่อตรงไหม มีความเคารพผู้อื่นหรือเปล่า และมีความยุติธรรมมากเพียงใด หากเราเข้าใจได้ถึงเท่านั้นจะก้าวไปทางซ้ายก็ไม่ต้องกลัว จะก้าวไปทางขวาก็ไม่ต้องหวาดหวั่น เขาจะว่าแรงจะว่าเบาเขาจะชมมากชมน้อย เราจะยืนได้อย่างถูกต้อง และก้าวเดินได้อย่างสง่างามจริงไหม
สิ่งที่เรากล่าวมานี้ก็คือสิ่งที่ท่านประสบเราเองก็เคยประสบมาก่อนแต่เมื่อเราเจอแล้วเราไม่นิ่งเฉย
เราพยายามคิดหาทางทะลุทะลวงออกไปให้จงได้ และเมื่อเราทะลุทะลวงออกไปได้ เรากลับพบประตูแห่งแดนนิพพาน ประตูแห่งการหลุดพ้นที่ไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป เราจึงรักทุกข์ตั้งแต่วันนั้นและตลอดไป
วันนี้พูดถึงทุกข์ทีไรก็ยังรักทุกข์อยู่และอยากขอบคุณทุกข์จริงๆ
เพราะ ทุกข์ทำให้เรารู้ว่าอะไรคือความสุขที่แท้จริงและอะไรทำให้เราได้เป็นพุทธะแต่ท่านยังมองไม่เห็นสักทีเจอทุกข์ทีไรก็ถอยหลังก่อน เจอทุกข์ทีไรก็ไม่เอาแล้ว
ชีวิตนี้ท่านอย่ายอมแพ้
ต้นไม้ถูกบิดผลไปหนึ่งผล แล้วมีผลต่ออีกไหม เด็ดไปหนึ่งใบยังมีใบต่ออีกไหม แล้วเจ็บแค่นี้ทำไมถึงกลัว เจ็บแค่นี้ต้องสู้อีกต่อไปใช่หรือไม่ แต่สู้อย่างคนที่เข้าใจและมีบทเรียนสอนใจ อย่ากลัวทุกข์จะกลัวก็กลัวสุขดีกว่า เพราะสุขทำให้เราหลง ทำให้เราคิดว่าเราเก่งทำให้เราคิดว่าเราแน่ เราถูกเสมอ ไม่มีใครถูกกว่าเราแล้ว และบางครั้งสุขยังทำให้เราไม่อยากจะทุกข์ แล้วอะไรที่ทำให้ท่านทุกข์ บอกเราบ้างได้ไหม เผื่อเราจะช่วยแก้ใด้ อะไรที่ทำให้ท่านทุกข์ ความรู้ทำให้ทุกข์ไหม
หนึ่งในแปดเซียนท่านหันเซียงจื่อ
สถานธรรมเจาหยรู จ.เชียงใหม่
11 พฤษภาคม 2545