ชื่อของอาม่าเฉิน ซู่จวี๋ วัย 61 ปี แม้ค้าขายผักในตลาดเมืองไถตงมานานครึ่งค่อนศตวรรษ เป็นที่รู้จักและสนใจของคนทั่วไป
แม่ค้าขายผัก แต่เป็นบุคคลผู้ทรงมีอิทธิพลที่สุดในโลก
จากการมอบรางวัล 1 ใน 100 บุคคลที่มีอิทธิพลต่อสังคมของโลก โดยนิตยสารไทม์ของสหรัฐฯ และขนานนามว่า ]“อาม่าคนเดินดินนักบุญผู้ใจบุญ”
รายงานข่าวของสื่อต่างๆในไต้หวันระบุว่า อาม่าเฉิน ซู่จวี๋ เกิดในครอบครัวยากจน คุณแม่ของอาม่าไม่มีเงินจ่ายค่าเบี้ยประกันสุขภาพ โรงพยาบาลไม่ยอมรับตัวไว้รักษาอาการคลอดยาก เพื่อนนักเรียนในโรงเรียนเหยินอ้าย ร่วมกันบริจาคเงินช่วยเหลือ ทำให้คุณแม่ของอาม่าเฉินฯ สามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้ แต่ก็เสียชีวิตในที่สุด ต่อมาน้องชายคนสุดท้องเป็นหวัดเสียชีวิต ส่วนตัวอาม่าก็ต้องออกจากโรงเรียน ยึดอาชีพขายผักเลี้ยงชีพ เลี้ยงทั้งครอบครัว และยังเลือกที่จะเป็น “โสด” ตลอดชีพด้วย
ผู้คนที่มีชะตากรรมเช่นเดียวกับอาม่าเฉิน ซู่จวี๋ มีจำนวนไม่น้อย แต่บางคนเลือกทางที่จะต้องพยายามขยันหาเงินสร้างความร่ำรวยให้แก่ตนเอง เพื่อเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของรุ่นลูกรุ่นหลาน บางคนกลายเป็นผู้โกรธแค้นต่อสังคม กระทั่งก้าวไปบนหนทางต่อต้านสังคม และยิ่งมีคนจำนวนไม่น้อยที่ท้อแท้หมดกำลังใจ ดื่มเหล้า กลายเป็นขี้เมา ก่ออาชญากรรม ทำร้ายตัวเอง ดิ้นรนอยู่ในสังคมชั้นล่าง ในขณะที่อาม่า เฉินฯ เลือกเดินหนทางที่แตกต่างกันอย่างลิบลับ ด้านหนึ่งใช้ชีวิตด้วยความประหยัดมัธยัสต์ ด้านหนึ่งทำบุญกุศล ค่อยๆเปลี่ยนแปลงความไม่เป็นธรรมในสังคม
อาม่าเฉินฯ ซึ่งเคยได้รับความช่วยเหลือจากโรงเรียน ได้บริจาคเงินก่อตั้งกองทุนทุนการศึกษาช่วยเหลือฉุกเฉินขึ้น และบริจาคเงินสร้างห้องสมุดด้วย นางไม่มีบุตรธิดา แต่รับเลี้ยงดูเด็กกำพร้าในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า นางรับปากที่จะบริจาคเงินให้แก่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่เนื่องจากฐานะทางเศรษฐกิจ จึงต้องเลือกวิธีการกู้เงิน เพื่อรักษาคำมั่นสัญญาของตน เป้าหมายใหญ่ของนางก็คือจัดตั้งกองทุนให้คนจนมีข้าวกิน มีเงินหาหมอ สุภาษิตจีนที่ว่า รำลึกบุญคุณแม้น้ำเพียงหยดเดียว ต้องตอบแทนด้วยน้ำที่ทะลักจากน้ำพุ และความสัตย์ซื่อ เป็นคุณธรรมที่สังคมชาวจีนยกย่องนับถือ ซึ่งอาม่าเฉินฯ ใช้ปฏิบัติการของตนทำได้สำเร็จแล้ว
อาม่าเฉิน ซู่จวี๋ มิใช่เพิ่งจะถูกสื่อนำเรื่องราวออกเผยแพร่เป็นวันเแรก ก่อนหน้านี้เมื่อ 5 ปีก่อน เรื่องราวของนางได้ถูกตีพิมพ์เป็นข่าวพาดหัวในหน้าหนังสือพิมพ์มาแล้ว และก่อนหน้าที่นิตยสารไทม์ จะมอบรางวัลนี้ให้นาง นิตยสารฟอร์ปส์ ได้เลือกให้นางเป็นวีรชนนักบุญเอเชียแปซิฟิกประจำปี 2010 ท่ามกลางการไล่ประกบติดตามรายงานข่าวของสื่อนานาชนิด อาม่าเฉินฯ ไม่เคยแสดงอาการที่ไม่เป็นธรรมชาติแม้แต่น้อย การใช้ชีวิตประจำวันก็เป็นไปตามปกติ ซึ่งก็คือยังเป็นอาม่าคนเดิม ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย อาม่ามีโอกาสเดินทางไปสหรัฐฯได้ไม่ง่ายนัก แต่กลับไม่ยอมอยู่ที่สหรัฐฯนานสักหน่อย เพราะไม่อยากสิ้นเปลืองเงินภาษีประชาชน จะรีบเดินทางกลับไปขายผักต่อ ท่าทีเรียบง่าย จริงใจ และตรงไปตรงมาของอาม่า ได้สะท้อนให้เห็นถึงสปิริตไต้หวัน
ในสภาพสังคมที่ยังคงเต็มไปด้วยความไม่เป็นธรรม ไม่ยุติธรรม จำเป็นต้องมีนักปฏิรูป และต้องการนักบุญ ความจริงแล้ว ไต้หวันเต็มไปด้วยนักบุญผู้ใจบุญ แต่ภายใต้สภาพที่เต็มไปด้วย ความเย้ายั่วของลาภยศเงินตรานี้ คนจำนวนไม่น้อยกลายเป็น “ใจบุญเทียมเลี่ยงภาษีจริง” “ใจบุญปลอมได้ประโยชน์มหาศาลจริง” “ใจบุญเท็จแต่ต้องการชื่อเสียง” กระทั่ง “ใจบุญหลอกต้มตุ๋นเงินจริง” และมีบางคนที่แขวนคำขวัญตัวเบ้อเริ่มเทิ่มไว้กลางห้องรับแขกว่า “เร่าร้อนสาธารณะกุศล”
แต่ความจริงกลับไม่ทำอย่างที่พูดไว้ และในช่วงก่อนที่อาม่าเฉินฯ จะกลับจากการรับมอบรางวัลที่สหรัฐฯ จีนแผ่นดินใหญ่ยังเกิดเหตุนักศึกษาขายดอกไม้การกุศลได้เงินมา 600 กว่า แต่มีแบงก์ร้อย 5 ใบที่เป็นแบงก์ปลอม เมื่อมาเปรียบเทียบกับภาพเหล่านี้แล้ว อาม่าเฉินฯ เป็นมนุษย์เดินดินธรรมดาที่ยิ่งใหญ่จริงๆ
เรื่องราวของอาม่าเฉิน ซู่จวี๋ จุดชนวนให้สังคมทั่วไปให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้น และชี้ชัดว่าอะไรบางอย่างในสังคมไต้หวันยังคงต้องการความร่วมกันอยู่ ความประหยัดมัธยัสต์ ความเมตตาธรรม ความเรียบง่าย และการเอาใจใส่กลุ่มผู้อ่อนแอ แน่นอนว่าเป็นคุณค่าที่ดำรงอยู่ตลอดกาลในสังคมไต้หวัน แต่มันได้สูญหายไปเรื่อยๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไปท่ามกลางการแก่งแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์กัน อาม่าเฉินฯได้เสริมคุณค่าของไต้หวันให้สูงยิ่งขึ้น และสังคมไต้หวันจะแสดงความขอบคุณต่อความใจบุญของอาม่าเฉินฯได้ดีที่สุดก็คือการทำให้ “เป็นจริง” ทำให้ความพยายามทุกอย่างของอาม่าเฉินฯ เป็๋นจริงให้ได้ ใช้ความพยายามของตนทีละน้อยทีละน้อยเปลี่ยนแปลงสังคม ทำให้สังคมนี้สวยงามยิ่งขึ้น ให้กลุ่มผู้อ่อนแอได้รับความเคารพและ
บทความจาก unigang และ thai.rti.org.tw
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!