ขั้นแรก คือต้องมีเงินออมประมาณ 6 เท่าของค่าใช้จ่ายประจำเดือน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับเวลาที่ต้องการใช้เงินฉุกเฉิน
ขั้นที่สอง จ่ายหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยแพงที่สุด และหนี้สินที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิตเสียก่อน
ขั้นที่สาม ทำประกันชีวิต เพื่อป้องกันความเสี่ยงให้กับตัวเองและครอบครัว
ขั้นที่สี่ ออมทรัพย์กับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพต่างๆ รวมถึงกองทุนรวมระยะยาว
ขั้นตอนที่ห้า ทำประกันสุขภาพและประกันอุบัติเหตุ
ขั้นตอนที่หก นำเงินที่เหลือจาก 5 ขั้นแรกและค่าใช้จ่ายประจำไปลงทุนเพิ่มทำให้เงินงอกเงยเพิ่มขึ้น
การกันเงินไว้สำหรับเพื่อกรณีฉุกเฉิน ก็คือเงินออมส่วนที่เรากันเอาไว้สำหรับการใช้จ่ายกรณีเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาลเมื่อยามเจ็บป่วย การซ่อมแซมรถยนต์หรือบ้านเรือนและเครื่องใช้ต่างๆ หากเสียหายและชำรุดเกิดขึ้น รวมถึงกรณีตกงานด้วยนะครับ
การเก็บเงินเพื่อการฉุกเฉินนั้น จากที่ได้มีการศึกษาไว้พบว่า จำนวนขั้นต่ำที่ควรเก็บไว้คือที่ประมาณ 6 เท่าของรายจ่ายประจำเดือน ตัวอย่างเช่น ถ้าเรามีค่าใช้จ่ายประจำรายเดือนอยู่ประมาณ 10,000 บาทต่อเดือน ก็ควรกันเงินในส่วนนี้อยู่ประมาณ 60,000 บาท
การจ่ายหนี้สินที่มีดอกเบี้ยที่แพงที่สุดออกไปเสียก่อน หมายถึงการบริหารหนี้สินของตนเองให้มีประสิทธิภาพ หนี้นอกระบบหรือหนี้บัตรเครดิตการ์ดหรือสินเชื่อสินค้าส่วนใหญ่จะเก็บในอัตราดอกเบี้ยที่สูงรวมทั้งมีค่าธรรมเนียมต่างๆ ในการติดตามหรือบริหารหนี้ค่อนข้างมาก
นอกจากนั้นเราจะเห็นได้ว่าวิธีหนึ่งที่สร้างหลักประกันสำหรับความต้องการใช้เงินในยามจำเป็นฉุกเฉินคือการประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และ ประกันอุบัติเหตุตามข้อที่สี่และห้านั้น ก็เป็นการสร้างเกราะป้องกันตนเองและครอบครัวจากค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ในกรณีเกิดอุบัติเหตุ หรือการเจ็บป่วยจากโรคร้ายแรงซึ่งอาจเกิดขึ้นอย่างกะทันหันกับตัวคุณเองหรือสมาชิกในครอบครัวได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นโรคร้ายแรงที่ต้องใช้เงินค่ารักษาพยาบาลค่อนข้างสูง อย่างที่เคยมีผู้กล่าวว่า เงินออมมาตลอดชีวิตหรือค่ารักษาพยาบาลตลอดชีวิตยังน้อยกว่าค่ารักษาพยาบาลจากโรคร้ายแรงในช่วง 3 เดือน 6 เดือนสุดท้ายของชีวิตถ้าหากท่านปฏิบัติตาม 6 ขั้นตอนดังกล่าวข้างต้น ท่านก็จะมีความมั่นคงในชีวิต ที่ไม่ต้องเดือดร้อนต้องไปขอกู้หนี้สินหรือพึ่งพาผู้อื่น คนที่ทำงานทุกคนจึงต้องมีการจัดสรรการใช้จ่าย การออม และการลงทุนอย่างรอบคอบและมีวินัย
ก็คงตรวจสอบตัวเองว่าได้มีการดำเนินการตามขั้นตอนนี้แล้วหรือยัง ถ้าหากยังก็ควรที่จะเริ่มเก็บออมเสียตั้งแต่วันนี้ ซึ่งก็มีวิธีการตรวจสอบตนเองอย่างง่ายว่ามีเงินออมเพียงพอหรือยัง ดังนี้
เงินออมที่ควรมีในปัจจุบัน = (1/10) x อายุ x รายได้ทั้งปี
ตัวอย่างเช่น หากเป็นคนโสดมีอายุ 30 ปี ทำงานมีเงินเดือน เดือนละ 15,000 บาทรายได้ทั้งปีเท่ากับ 180,000 บาท ดังนั้นจึงควรมีเงินออมเท่ากับ 1/10x 30 x 180,000 = 540,000 บาท ซึ่งเงินออมนี้ก็อาจรวมถึงทรัพย์สินสุทธิที่มีอยู่ เช่น บ้าน ที่ดิน รถยนต์ หรืออื่น ๆ เป็นต้น
ถ้าหากเงินออมที่มีอยู่ยังต่ำกว่าเกณฑ์ข้างต้น แสดงว่าสุขภาพการเงินของท่านยังไม่แข็งแรงจึงควรออมเพิ่มขึ้นนะครับ
ที่มา:คอลัมภ์เข็มทิศเงินทุน นสพ.เดลินิวส์