พระราชวังต้องห้าม หรือ "กู้กง" ภาษาอังกฤษเรียกว่า "the Imperial Palace" หรือ "The Palace Museum" หรือ "The Forbidden City" ชื่อเก่าชื่อ "จื่อจิ้นเฉิง" เป็นพระราชวังของราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง เป็นสิ่งก่อสร้างที่มหัศจรรย์แห่งหนึ่งในโลก และเป็นสิ่งก่อสร้างโบราณที่สร้างด้วยไม้เป็นหลักที่กว้างใหญ่ที่สุดและ สมบูรณ์ที่สุดในโลก
พระราชวังโบราณหรือพระราชวังต้องห้ามหรือกู้กง เป็นศูนย์กลางอำนาจสูงสุดของจีนในช่วง 500 ปีที่ผ่านมานี้ เป็นสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่มีทั้งอุทยานและห้อง 9,000 ห้อง เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์และสะท้อนวัฒนธรรมอันล้ำค่าของราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง
พระราชวังต้องห้าม หรือ กู้กง
พระราชวังต้องห้าม เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี 1406 (ปีที่ 4 รัชสมัยจักรพรรดิหย่งเล่อของราชวงศ์หมิง) สร้างเสร็จเมื่อปี 1420 ใช้เวลาประมาณ 14 ปี พระราชวังต้องห้ามมีความยาวจากทิศเหนือจรดทิศใต้ 961 เมตร มีความกว้างจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก 753 เมตร มีเนื้อที่โดยรวมประมาณ 723,600 ตารางเมตร และมีพื้นที่ของส่งก่อสร้าง รวมกัน 155,000 ตารางเมตร
เล่ากันว่า พระราชวังต้องห้ามมีห้องใหญ่ห้องเล็กทั้งหมด 9999.5 ห้อง เมื่อปี 1973 ผู้เชี่ยวชาญได้สำรวจและพิสูจน์ว่า พระราชวังต้องห้ามมีทั้งหมด 8,704 ห้อง
ถ้ามีคนคนหนึ่ง เกิดในพระราชวังต้องห้ามและเปลี่ยนห้องนอนทุกวัน ไม่ซ้ำกัน จะสามารถนอนได้ถึงอายุ 27 ปีจึงจะครบทุกห้อง ทั้งสี่ด้านของพระราชวังต้องห้ามมีกำแพงที่มีความสูง 12 เมตรและยาว 3,400 เมตรโดยรอบ จึงเป็นเมืองที่เป็นรูปสี่เหลี่ยม นอกวังมีคูวังที่มีความกว้าง 52 เมตรล้อมรอบ ทำให้กลายเป็นวังที่มีความแข็งแกร่ง
สิ่งก่อสร้างในพระราชวังต้องห้ามสร้างด้วยไม้ทั้งนั้น มีหลังคากระเบื้องเคลือบสีเหลือง ฐานหินสีขาว และประดับประดาขึ้นด้วยภาพวาดหลากสีสัน
พระราชวังต้องห้ามมีทั้งหมดสี่ประตู ประตูทิศใต้มีชื่อว่า "อู่เหมิน" ประตูทิศตะวันออกชื่อว่า "ตงหวาเหมิน" ประตูทิศตะวันตกชื่อ "ซีหวาเหมิน" ส่วนทิศเหนือชื่อว่า "เสินอู่เหมิน" โดยด้านหลังประตู "เสินอู่เหมิน" มีภูเขาจิ่งซานซึ่งก่อสร้างขึ้นด้วยดินและหิน และครอบคลุมไว้ด้วยป่าต้นสนและต้นไป่ มองโดยรวม ภูเขาจิ่งซานนับเป็นที่กำบังของพระราชวังต้องห้ามได้อย่างดี
สิ่งก่อสร้างของพระราชวังต้องห้ามแบ่งเป็นสองส่วนใหญ่ๆ ได้ตามที่ตั้งและบทบาทได้แก่ "วังนอก" และ "วังใน" โดยมีประตู "เฉียนชิงเหมิน" เป็นเส้นแบ่ง ส่วนทางใต้จากประตู "เฉียนชิงเหมิน" คือ "วังนอก" ส่วนทางเหนือจากประตู "เฉียนชิงเหมิน" คือ "วังใน" ซึ่งมีบรรยากาศและรูปแบบการก่อสร้างต่างกันมาก
ส่วน "วังนอก" ถือ 3 พระที่นั่งยิ่งใหญ่เป็นใจกลางได้แก่ พระที่นั่ง "ไท่เหอเตี้ยน" พระที่นั้ง "จุงเหอเตี้ยน" และพระที่นั่ง "เป่าเหอเตี้ยน" ก็เรียกได้ว่าเป็น "วังหน้า" ด้วย เป็นที่เสด็จออกว่าราชการและจัดพระราชพิธีของจักรพรรดิ ส่วนปีกทั้งสองข้าง ทิศตะวันออกมี พระที่นั่ง "เหวินหวาเตี้ยน" หอ "เหวินยวนเก๋อ" หอ "ซ่างซื่อย่วน" และ หอ "หนานซานสั่ว" ส่วนด้านทิศตะวันตกมีพระที่นั่ง "อู่อิงเตี้ยน" และสำนักงานกิจการภายในพระบรมวงศานุวงศ์
ส่วน "วังใน" ถือพระตำหนัก "เฉียนชิงกง" พระที่นั่ง "เจี้ยนไท่เตี้ยน" และพระตำหนัก "คุนหนิงกง" เป็นใจกลางของ "วังใน" สองข้างของวังนี้มีพระที่นั่ง "หยางซินเตี้ยน" และมีอีก 6 วังตั้งลายล้อมอยู่ทางทิศตะวันออกและอีก 6 วังทางทิศตะวันตก รวมถึงพระตำหนัก "ไจกง" และพระตำหนัก "ยี่ว์ชิ่งกง" ส่วนหลังสุดมีพระราชอุทยานของ "วังใน" เป็นที่ประทับและพักผ่อนหย่อนใจของจักรพรรดิ พระมเหษีและพระสนม พระตำหนัก "หนิงโซ่กง" ที่ตั้งอยู่ทางตอนทิศตะวันออกของ "วังใน" เป็นที่ประทับของจักรพรรดิเฉียนหลงฮ่องเต้ภายหลังทรงสละราชสมบัติ ปีกตะวันตกของ "วังใน" ประกอบด้วย พระตำหนัก "ฉือหนิงกง" พระตำหนัก "โซ่อันกง" เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีพระตำหนัก "ฉงหวากง" และหอ "เป่ยอู่สัว" เป็นต้น
พระราชวังต้องห้ามตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจัตุรัสเทียนอันเหมิน นักท่องเที่ยวสามารถเข้าสู่พระราชวังต้องห้ามได้ทางจตุรัสนี้ ผ่านประตูเทียนอันเหมิน บริเวณรอบจตุรัสเทียนอันเหมิน เรียกว่า อาณาเขตหลวง โดยมีสิ่งก่อสร้างสำคัญอยู่โดยรอบ เช่น มหาศาลาประชาคม หอพระสมุด ห้องหับต่างๆอีกมาก รวมทั้งยังมีสวน ลานกว้าง ทางเดินเชื่อมกันโดยตลอด ในอดีตภายในเป็นที่ประทับของจักรพรรดิ โดยมีสนมกำนัล ขันที และข้าหลวงรับใช้ ซึ่งคนเหล่านี้ต้องอาศัยอยู่ในนครต้องห้ามตลอดชีวิต เพื่อความสำราญของจักรพรรดิ ในวังจะมีวิเสท 6,000 คน ประกอบพระกระยาหาร มีสนมกำนัล 9,000 นาง ซึ่งมีขันที 70,000 คน คอยดูแลให้ มีคำเล่าลือกันว่า พระนางซูสีไทเฮา เวลาเสวยก็จะมีพระกระยาหารถึง 148 ชุด และทรงส่งขันทีไปเสาะหาชายหนุ่มซึ่งเข้าวังแล้วจะไม่มีผู้ใดพบเห็นอีกเลย
แม้ว่าประเทศจีนจะไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์แล้ว พระราชวังต้องห้ามก็ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของประเทศจีน และภาพประตูเทียนอันเหมินก็ยังปรากฏอยู่ในตราประจำสาธารณรัฐประชาชนจีนอีกด้วย นอกจากนี้ พระราชวังต้องห้ามยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งไม่นานมานี้ ทางรัฐบาลจีนได้มีนโยบายจำกัดปริมาณนักท่องเที่ยวเพื่อจะอนุรักษ์สภาพของอาคารและสวนหย่อมไว้
ยูเนสโกได้ประกาศให้พระราชวังต้องห้ามร่วมกับพระราชวังเสิ่นหยางเป็นหนึ่งในมรดกโลกในนาม พระราชวังหลวงแห่งราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงในปักกิ่งและเสิ่นหยาง เมื่อ พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987)
พระราชวังต้องห้ามเป็นที่รู้จักในหลากหลายชื่อ ในภาษาจีนนั้น ชาวจีนจะเรียกพระราชวังต้องห้ามว่า กู้กง ซึ่งแปลว่า พระราชวังเก่า นอกจากนี้ คำนี้ยังใช้เรียกพระราชวังเก่าตามเมืองต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วไปในประเทศจีนด้วย
ส่วนคำที่เรารู้จักกันดีว่า "พระราชวังต้องห้าม" นั้น แปลมาจากภาษาจีน จื่อจิ้น เฉิง ซึ่งแปลตามตัวอักษรได้ว่า "เมืองต้องห้ามสีเลือดหมู" ด้วยเหตุที่ว่า ห้ามสามัญชนเข้าไปในบริเวณวังหลวงโดยเด็ดขาด และสีเลือดหมูนั้นเป็นสีอาคารและหลังคาโดยทั่วไป