แสงสว่างของชีวิต
ท่านเจ้าเมืองผู้เฒ่า กล่าวกับอำมาตย์ผู้จงรักภักดีอย่างหดหู่ว่า
“ข้ารู้สึกว่าตัวเองแก่ชราลงไปทุกวัน เกินกว่าที่จะศึกษาสิ่งต่างๆ ต่อไป ทั้งที่ใจข้านั้นยังปรารถนาที่จะเรียนรู้อะไรอีกมากมาย แต่มันคงสายสำหรับข้าเสียแล้ว”
อำมาตย์ได้ฟังก็เปรยขึ้นว่า “เหตุใดท่านไม่ลองจุดเทียนเล่า ไม่มีคำ ว่าสายสำหรับการเริ่มต้นใหม่หรอก”
“หมายความว่าอย่างไร ท่านอำมาตย์”
“หากผู้ใดใฝ่ขยันตั้งแต่วัยเยาว์ ตั้งใจศึกษาหาความรู้ อนาคตของ เขาย่อมเปรียบเหมือนแสงอรุโณทัยที่ส่องสว่างและเจิดจรัส หากผู้ใด ใฝ่ศึกษาเมื่อเข้าวัยกลางคน ชีวิตของเขาก็เปรียบเหมือนตะวันยามเที่ยง ที่จะส่องแสงไปได้อีกครึ่งวัน และหากผู้ใดใฝ่ศึกษาในยามชรา ก็เปรียบ เหมือนเปลวเทียน แม้จะให้แสงได้ไม่มาก แม้จะริบหรี่ แต่ก็ย่อมดีกว่า ตกอยู่ในความมืดมน” อำมาตย์อธิบายด้วยความตั้งใจ
.........
คนเรานั้นไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับการเรียนรู้ เพราะความรู้นั้นจะอยู่ติดตัวเราไปจนแก่เฒ่า เป็นทรัพย์สมบัติที่ยิ่งใช้จะยิ่งมีมากขึ้น.. มากขึ้น และจะนำชีวิตเราไปในทางที่ดี เหมือนแสงไฟที่ส่องนำทาง แม้จะน้อยนิดแต่ก็ยังมีแสงรำไรให้เรามองเห็น...ไม่มีใครเป็นที่พึ่งให้เราได้ทั้งชีวิต เราควรศึกษาเรียนรู้สิ่งต่างๆในโลก ทั้งทางวิชาการ และความรู้ทั่วไปที่จะสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข ใช้ทรัพย์ทางปัญญาของเราสร้างประโยชน์ให้แก่ตัวเองและสังคม เพราะสิ่งเหล่านั้นจะยังคงอยู่แม้เวลาจะผ่านไป
จาก ทำดีดอทเนต