ประวัติ Valentines Day
มาจากชื่อของนักบุญวาเลนไทน์ (St.Valentine) ผู้ซึ่งมีชีวิตอยู่ใน สมัยกษัตริย์ Claudiusที่ 2 แห่งกรุงโรม ในสมัยนั้นกษัตริย์ Claudius ออกกฎห้าม ให้มีการแต่งงานในเมืองของพระองค์ เพราะกษัตริย์ทรงต้องการทำศึกสงครามทรง ต้องการให้ผู้ชายทุกคนไปเป็นทหาร พระองค์เชื่อว่าถ้าไม่มีการแต่งงานผู้ชายจะสน ใจกับการรบมากขึ้น
อีกตำนานของวันวาเลนไทน์...... อีกตำนานหนึ่งบอกว่า
วาเลนไทน์เป็นชื่อ ของนักบุญในสมัยคริสตวรรษที่ 3 ของกรุงโรม
ซึ่งขณะนั้นองค์จักรพรรดิ์เคลาดิลุสที่ 2 เห็นว่า ในบรรดาเหล่า ทหารหาญของพระองค์
ชายโสดจะมีประสิทธิภาพในการรบที่.. เยี่ยมกว่า... ชายที่แต่งงานแล้ว
พระองค์จึงประกาศว่า
การแต่งงานของวัยรุ่นนั้นเป็นความผิด นักบวชวาเลนไทน์ไม่เห็นด้วยและยัง
คงประกอบพิธีแต่งงานตามศาสนาแบบลับๆ เมื่อองค์จักรพรรดิ์ทราบจึง...
...รับสั่ง...ให้นักบวชวาเลนไทน์ไปประหารชีวิต
ความจริงวาเลนไทน์ ได้ส่งการ์ดวาเลนไทน์ใบแรกของโลก
ด้วยตัวเองขณะที่อยู่ในคุกนักบวชวาเลนไทน์
ได้ตกหลุมรักหญิงสาวซึ่งเป็นลูกของ พัสดีที่มาเยี่ยมเยียนเขาก่อนตาย
อีกตำนานหนึ่งระบุไว้ในหนังสือเดอะเวิลด์ บุ๊ก เอ็นไซโคเปียเดีย ว่าเรื่องของ
นักบุญวาเลนไทน์ไม่เกี่ยวข้องกับ วันวาเลนไทน์ที่ปฏิบัติกันอยู่ในขณะนี้
วันวาเลนไทน์นั้นมีมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน
ในกรุงโรมสมัยก่อนนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์
จะเป็นวันเฉลิมฉลองของจูโน่ซึ่งเป็นราชินีแห่งเหล่าเทพและเทพธิดาของโรมัน
ชาวโรมันรู้จักเธอในนามของเทพธิดาแห่ง อิสตรีและการแต่งงาน
และในวันถัดมาคือวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ก็จะเป็นวันเริ่มต้นงานเลี้ยงของ Lupercalia
การดำเนินชีวิตของเด็กหนุ่มและเด็กสาวในสมัยนั้นจะถูกแยกจากกันอย่างเด็ดขาด
แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีประเพณีอย่างนึง ซึ่งเด็กหนุ่มสาวยังสืบทอดต่อกันมา
คือ คืนก่อนวันเฉลิมฉลอง Lupercalia นั้นชื่อของเด็กสาวทุกคนจะถูกเขียนลงในเศษกระดาษเล็ก ๆ และจะใส่เอาไว้ในเหยือก เด็กหนุ่มแต่ละคนจะดึงชื่อของเด็กสาวออกจากเหยือก แล้วหลังจากนั้นก็จะจับคู่กันในงานเฉลิมฉลอง บางครั้งการจับคู่นี้
ท้ายที่สุดก็จะจบลงด้วยการที่เด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้งสองนั้น
ได้ตกหลุมรักกันและแต่งงานกันในที่สุด