ชอบดูละครแนวริษยาตบตี ......บาปถึงตกนรก หรือไม่ !

...........ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนว่า ปกติ ผมไม่ใช่คนชอบดูละคร ซักเท่าไหร่ ...........แต่ เวลาไปนั่งบ้านญาติ  เห็นญาติผู้ใหญ่เขา นั่งดูละครแนวน้ำเน่ากัน ...แล้วก็ มักจะมีอารมณ์ตามไปด้วย อย่างเช่น นั่งดูไป ก็พูดแช่งชักหักกระดูก ตัวร้าย ตัวอิจฉาไป  หรือไม่ก็นั่งด่า ตัวนางเอก ว่าทำไม โง่อย่างนั้น บื้ออย่างนี้  ...........ผมก็เลยตั้งโจทย์ขึ้นมาว่า   การดูละครทีวีแบบนี้  มันจะบาปรึเปล่า  



...........ก่อนจะไปถึง คำตอบของคำถามที่ว่า "บาป"หรือไม่ ........มันก็ต้องสำรวจใจตัวเองกันหน่อยหล่ะครับ

..........เวลาเราดูละครแล้วเห็นภาพ นางเอก ตัวละครฝ่ายดี หรือ ตัวละครที่เราชอบถูกรังแก ถูกตบตี เรามีความรู้สึกโกรธ เกลียด ตัวละครตัวร้ายที่เป็นฝ่ายกระทำหรือเปล่า ............เรารู้สึกเวทนา สงสาร รู้สึกเดือดร้อนแทนตัวละครที่เป็นฝ่ายถูกกระทำหรือเปล่า ............

..........เวลาเราเห็นภาพตัวละครที่เป็นตัวร้าย หรือ ตัวที่เราเกลียด กำลังโดนกระทำคืนบ้าง โดนเอาคืน โดนตบคืน บ้าง .........ใจเราก็เกิดความรู้สึก สะใจในอารมณ์ หรือเปล่า ใจเรากำลังเชียร์ให้มันโดนเยอะๆ โดนหนักๆอยู่หรือเปล่า

..........เห็นตัวละครฝ่ายดี ทำอะไรซื่อๆ ไม่ทันฝ่ายตัวร้าย ก็รู้สึกหงุดหงิด รำคาญ แล้วก็นึกด่าในใจว่า มันโง่อย่างนั้น มันงี่เง่าอย่างนี้ รึเปล่า .........ใจคุณ มีการคาดหวังอยู่ตลอดว่า ฉากตัวไปมันจะเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ พอไม่เป็นไปตามที่คาด ก็ รู้สึกขุ่นเคือง รึเปล่า

........เห็นภาพ การตบตีในละคร เห็นคำพูด กระแทกกระทั้น ดูถูกเหยียบหยามชนชั้นกัน แล้วฟุ้งซ่านไปถึงชีวิตจริงของตัวเอง นึกไปถึงคนที่เราไม่ชอบที่ทำงาน ที่มหาวิทยาลัย ฯลฯ ....แล้วพาลคิด จินตนาการไปว่าจะเอาไปกระทำกับคนตนไม่ชอบ ในชีวิตจริง กันบ้างหรือเปล่า .......จิตใจของเราเกิดความร้อนรุ่มไม่สงบสุขรึเปล่า ......................

.....................ถ้าคุณไม่ได้เป็นอย่างที่ยกตัวอย่างนี้ ก็แล้วไป ..........แต่ถ้า ใจคุณ เป็นแบบนั้นหล่ะ
.."บาป" หรือไม่ ? ............

............แต่ ..........นี่มันแค่ความคิดที่อยู่ในใจน่ะ ไม่ได้มีการกระทำอะไรทางกายซักหน่อย


...........แต่ ...........ในทางพุทธศาสนา มีคำสอนเกี่ยวกับเรื่อง "กุศลกรรมบท" กับ " อกุศลกรรมบท" 10 อย่าง ...................ได้แก่ กายกรรม (การกระทำทางกาย 3 อย่าง) .........วจีกรรม(การกระทำทางวาจา 4 อย่าง) ............และ มโนกรรม (การกระทำของความคิด จิตใจ 3 อย่าง )

...............ประเด็นหลักของกระทู้นี้ ก็คือ "มโนกรรม" การกระทำของความคิด จิตใจ ที่เป็น "อกุศล" ครับ ...............ที่ทางพุทธศาสนาเรียกว่า "มโนกรรมทุจริต" (ซึ่งตรงข้ามกับ มโนกรรมสุจริต ซึ่งเป็น การกระทำทางใจ ฝ่าย "กุศล" )

..........มโนกรรมที่เป็นอกุศล .....ก็ได้แก่ จิตที่มีความคิดพยาบาท คิดประทุษร้ายเป็นอารมณ์ รวมไปถึง จิตใจที่ปรุงแต่งด้วย กิเลสขึ้นพื้นฐาน ที่เราคุ้นหูกันดี ก็คือ โลภะ(โลภ) โทสะ(โกรธ) โมหะ(หลง)

.................เวลาที่เราดูละครแล้ว เห็นภาพตัวละครที่เราเชียร์ ถูกกระทำ ถูกรังแก แล้วเรารู้สึกโกรธ เกลียด ตัวละครที่เป็นฝ่ายกระทำ นั่นก็คือ ใจของเรากำลังถูกอำนาจของกิเลสที่ชื่อ "โทสะ" ครอบงำ ......เป็น "อกุศล" ..........

.........เราเห็นตัวละครที่เป็นตัวร้าย เป็นตัวที่เราเกลียด ถูกตบคืน มีฉากตบตีกันมันหยดแล้วใจเราก็นึกสะใจ นึกเชียร์ให้มันโดนหนักๆ นั่นแหล่ะ ใจของเรากำลังถูกความ "อาฆาตพยายาท ความคิดประทุษร้าย " เข้าครอบงำ เป็นมโนกรรมทุจริต .เป็นบาปอกุศล อย่างหนึ่ง

.........ยิ่งเราเอาคำพูดกระแทกกระทั้น เอาพฤติกรรมตบตี ไปใช้กับ คนที่เราเกลียด ในชีวิตจริง ไปตบตีกันจริงๆ แถมด้วยการถ่ายคลิปตบกัน เอาคลิปไปเผยแพร่ คนอื่นๆมาดูเข้าก็ เกิดมิจฉาทิฎฐิ เห็นการทำชั่วเป็นเรื่อง สนุก ก็เอาไปทำต่อ เป็นแฟชั่น ..........คราวนี้หล่ะ แค่มโนกรรม(ใจ) เป็นบาปอกุศลอย่างเดียวไม่พอ .......... ยังลากเอา "กาย" กับ "วาจา" ไปก่อบาปเวร เพิ่มไปอีก .................บาปเวร ย่อมเพิ่มเป็นทวีคูณ ............คราวนี้ ตัวเองร้อนคนเดียวไม่พอ ยังไปทำให้ คนอื่นร้อน ......แล้วสังคมก็ร้อนไปด้วย


.................ไม่ใช่แค่ละคร .........แม้แต่ MV เพลงแนว อกหักรักคุดทั้งหลายแหล่ ที่วัยรุ่นชอบดูกันนี่ .........พอดูแล้วก็ อิน เกิดความรู้สึก เศร้าหมอง หดหู่ (หนักสุด เพลงแนวอกหัก ถึงกับกลายเป็นเหตุให้วัยรุ่น ดูแล้วฆ่าตัวตาย ก็มีเป็นข่าวมาแล้ว) ทั้งๆที่มันแค่การแสดง แค่เพลง แค่สิ่งสมมุติ ............... ...............การทำใจให้หดหู่หม่นหมอง ก็เป็น มโนทุจริต เป็นอกุศลเหมือนกัน (เรื่องนี้ ครูวิชาพุทธศาสนา สมัยผมเรียนอยู่พาณิชยฯ ที่ผมเรียกท่านว่า อาจารย์แม่ ....ก็เคยสอน ) .

........................การปล่อยจิตใจให้หวั่นไหวไปตามการชักนำของสิ่งสมมุติเหล่านี้ ก็เป็นจิตที่ถูก กิเลส คือ "โมหะ" (ความหลง ) เข้าครอบงำ เป็นความเขลา เป็นมิจฉาทิฎฐิ อย่างหนึ่ง ............

...........นี่แหล่ะ ........สรุปคือ มีแต่ "บาป อกุศล" ทั้งนั้น ...........มีแต่ความร้อนรุ่ม หาความสงบไม่ได้ ...ทุกๆวัน มีคนจำนวนไม่น้อย กำลังก่ออกุศลให้เกิดกับตัวเองโดยไม่รู้ตัว .............ในศีล 8 ข้อ ของอุบาสก อุบาสิกา ก็ยังบัญญัติให้ งดเว้นการดูชมการแสดง การละเล่นต่างๆ ที่จะทำให้เกิดอกุศลเอาไว้ด้วย


...........คราวนี้ มาพูดถึง "นรก" ........ที่ถามว่า บาปถึงขั้นตกนรกหรือไม่ ........อันนี้ยังไม่ต้องไปพูดถึง นรกหลังความตาย ไม่ต้องพูดถึง อกุศลที่ทำบ่อยๆจนเป็น"อาจิณกรรม" แล้วก็ไปมีผลสร้างภพชาติใหม่ให้ เลว หยาบ หาความประณีต ไม่ได้อะไรทั้งนั้น ..................คือ ไม่ต้องไปพูดถึง เรื่อง "อจินไตย" ที่เกินวิสัยของมนุษย์ธรรมดาๆจะไปครุ่นคิด จินตนาการ หรือสัมผัส รับรู้ได้ว่างั้นเถอะ ......

...........เอาง่ายๆ ว่า ถ้าเราดูละคร แล้ว เราเกิดความรู้สึกเกลียด หมั่นไส้ เนื้อเรื่องที่ดำเนินไป ไม่ได้อย่างใจ ฯลฯ ใจรู้สึกนึกคิดไปเปรียบเทียบถึงชีวิตจริง แล้วรู้สึกร้อนรุ่ม รู้สึกเหมือนที่ได้ยกตัวอย่างไปแล้วข้างต้น ..........เห็นภาพตัวละครที่เป็นคนจน คนใช้ถูกกดขี่ ถูกรังแก แล้วรู้สึกคับแค้น ขุ่นเคือง ...........เห็น ดารา นักแสดง หน้าตา หล่อๆ สวยๆ แล้ว เกิดราคะ เกิดความกำหนัดในกาม แต่ไม่สามารถมี ไม่สามารเป็น ไม่สามารถสนองอย่างที่ใจต้องการได้ แล้วเกิด รู้สึก ทุกข์ร้อน อะไรทั้งหลายแหล่ ......คือ จิตใจมีแต่ความร้อน ......ไม่สงบไม่เย็น .................

.................ถ้า จะเอาตามปรัชญาของท่าน พุทธทาส ........ก็ ต้องถือว่า นั่นแหละ "ใจ"ของคุณ กำลังมีสภาพ เป็น"นรก" แล้วหล่ะครับ


...................โดยสรุปแล้ว เหตุการณ์ต่างๆ ที่ยกตัวอย่างมาให้เห็น ก็พอจะเรียบเรียงได้ว่า เมื่อ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ (อายตนะภายใน) .....ไปสัมผัสกับ รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่กายสัมผัส และ สิ่งที่ใจไปรับรู้ (อายตนะภายนอก) ........ก็ทำให้เกิดความรู้สึก สุข ทุกข์ เกิดการยินดี - ยินร้าย .........แล้วจิตก็เกิดการปรุงแต่งให้เป็น "กุศล - อกุศล"

..............อธิบายอีกอย่างก็คือ "ตา" ไปสัมผัส "รูป" ต่างๆ ในละคร (เช่น การตบตี ทะเลาะวิวาท ฯลฯ ) ........หู ไปได้ยินเสียงต่างๆ ในละคร (เช่น การพูดดูถูกเหยียดหยาม กระแทกกระทั้น ฯลฯ ) ...........ใจไปสัมผัส ไปอิน กับ อารมณ์ต่างๆ ก็เกิดการยินดี - ยินร้าย ............แล้ว"จิต" ก็มีการปรุงแต่ง ให้เป็น "อกุศล" ด้วยอำนาจของกิเลส ตัณหา ต่างๆ นานา ยกตัวอย่าง เช่น ความอยากได้ (โลภะ) ความอยากมี อยากเป็น (ตัณหา) ........ความคิดประทุษร้าย (โทสะ) .......ความหลง ความไม่รู้ (โมหะ) ............ความหดหู่ (ถีนะ) ......ความฟุ้งซ่าน (อุทธัจจะ) .........ความใคร่ในกาม (กามราคะ) .......ความคับแค้น กระทบกระทั่ง( ปฏิฆะ) ...ฯลฯ ...........นี่คือ ตัวอย่างของ กิเลส ที่สามารถ เกิดขึ้นได้ เวลาที่เราดูหนัง ดูละครต่างๆ .....................
*************************************************************************

.................แล้ว ดูละคร แบบไม่ บาป ไม่อกุศล เป็นยังไง ?


................จะว่าไปแล้ว ผมเองก็ดูละคร เหมือนกันนะครับ แต่ผมจะดูเป็นบางเรื่อง ไม่ได้ดูทุกเรื่อง ทุกวัน ............หรือ บางเรื่องที่คนที่บ้าน เขาดู แล้วผมก็เห็นไปด้วย แต่ไม่ได้ตั้งใจจะดูจริงๆ จังๆ ก็มี ..
...............แม้ว่า ผมเองจะ มีความสุข ตื่นเต้น สนุกสนานกับ บางฉาก ในละครบางเรื่อง เป็นความสนุก ที่ไม่เจือ ด้วยอกุศล ( ความสนุกที่เจือด้วยอกุศล เช่น สนุกเพราะเห็นภาพความ เดือดร้อนของคนอื่น หรือ เห็นความโง่เซ่อ ความบกพร่องพิกลพิกาล ของคนอื่น เป็นเรื่องตลกขบขัน ฯลฯ) ............อันนี้พบได้บ่อย ในละครประเภท ที่ชอบเอานักแสดงตลก มาแสดง

....................แม้ผมจะดูละคร .......แต่ ถ้า ฉากไหน ที่เห็นแล้ว ทำให้จิตของผมเกิด "อกุศล" ผมก็จะรู้ทันความคิดจิตใจของตัวเอง ...........ใช้จิตมองเห็นจิตของตัวเอง พอเห็นว่า กำลังเป็น อกุศล รู้ว่าตอนนี้มีกิเลสตัวไหนบ้าง ที่กิดขึ้นมาแล้ว ........จิตที่เป็นอกุศล ก็จะดับหายไปอย่างรวดเร็ว พร้อมๆกับ กิเลสต่างๆ ที่ปรุงแต่งจิตตัวนั้น ...........แล้วความสงบนิ่ง สงบเย็นในใจก็จะเกิดขึ้น แทนที่จะร้อนไปตามอารมณ์ที่ปรากฏบนจอทีวีนั่น ...................

..........ยกตัวอย่าง .......เห็นฉาก ตบตี ด่าทอ หรือ ฉากฆ่ากัน พอเริ่มเกิดความรู้สึกยินดี สะใจไปกับสิ่งที่เห็น ก็จะรู้ทัน จับได้ไล่ทันว่า "ขณะนี้จิตกำลังเป็น อกุศล หนอ ........ตอนนี้ จิตกำลัง มีโทสะ หนอ ....." พอรู้ทันแล้ว ก็กำหนดให้จิตที่เป็นอกุศลเพราะมีกิเลสปรุงแต่งดับ จิตนั้นก็จะดับไป
..............เห็นฉาก ตัวละครฝ่ายดี ถูกรังแก เห็นฉากการพูดดูถูกเหยียดหยามชนชั้น วรรณะกัน ในละคร แทนที่จะมีอารมณ์ เกลียด สะใจ หรือ คับแค้น ขุ่นเคืองใจ จนจิตใจเป็นอกุศลตามละคร ก็ให้มีสติ พิจารณารู้ทันจิตของตัวเองว่า "โทสะหนอ พยาบาทหนอ จิตเรากำลังเป็นอกุศลหนอ มันเป็นแค่การแสดงหนอ " แล้วก็ให้จิตที่เป็นอกุศลดับไป ตัดการปรุงแต่งต่างๆ ที่เป็นกิเลส อกุศลออกไป .................


...........ดู MV เพลงอกหัก ดูฉากจบหนังละคร ที่มันชวนให้เศร้าสลดหดหู่ การทำให้ใจเศร้าหมอง ก็เป็น อกุศล เป็นจิตที่ถูกปรุงแต่งด้วย ตัว "ถีนะ" (ความหดหู่) กับตัว "โมหะ" (ความหลง ไม่เห็นตามความจริงว่า "มันเป็นแค่การแสดง แค่สิ่งสมมุติ") .....

........ พอมองเห็นแล้ว รู้ทันจิตของตัวเองแล้ว ว่าเป็น อกุศล ก็รู้ว่า "อกุศลหนอ มันเป็นแค่การแสดงหนอ " พอมีสติรู้ตัว รู้ตามจริง มันก็หยุดเศร้างหมอง หยุดการปรุงแต่ง จิตก็ไม่เป็น อกุศล ........(คนที่ดูมิวสิคเพลงอกหักแล้วก็ฆ่าตัวตาย .จนเป็นข่าว ถ้า เขาได้ฝึกควบคุมจิตมาแบบนี้ เขาจะไม่ตายอย่างแน่นอน) .
............แม้ในชีวิตจริงจะเป็น เหมือน ที่เห็นในนั้น ..........ก็ จงกำหนดจิต พิจารณาว่า ทุกสิ่ง ก็ล้วนอนิจจัง ไม่เที่ยง .........ทุกชีวิตหนีไม่พ้น ไตรลักษณ์ หนีไม่พ้น โลกธรรม 8 ..........ที่สำคัญ ..จิตที่ เศร้าหมอง เป็นทุกข์นั้น มันเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป ........ไม่ใช่ตัวตนของเรา ไม่ต้องไปยึดติด

...................หรือ อีกอย่างก็คือ ทำใจให้แจ่มชัดแต่แรกว่า ที่เห็นเป็นเพียงการแสดง เป็นเพียงสิ่งสมมุติ เป็นเพียงมายาภาพ แล้วตาก็สักแต่ว่าเห็นภาพ หูก็สักแต่ว่าได้ยินเสียง แต่จิตใจไม่มีการปรุงแต่ง ตัดการปรุงแต่งต่างๆที่เป็นกิเลส อกุศล ไม่มีอารมณ์ร่วม (อิน) ไปกับเขาด้วย แล้วใจก็สงบ เย็น ไม่ร้อน ..............
..............ถ้าจะบอกว่า แบบนี้ ดูละครแล้วไม่มีอารมณ์ร่วม แล้วมันจะไปสนุกอะไร ตรงนี้ผมเคยได้ยิน สิ่งที่พระพยอมเคย เทศน์ไว้ ในทำนองว่า "คนเรานี้ มันชอบความสนุกที่เผ็ดร้อน ความสนุกที่แฝงไว้ด้วยทุกข์" ...........................

..................... (ตรงนี้ เป็นปรัชญานะครับ) หากผมถามพวกคุณว่า คุณชอบเครื่องดื่มอะไรมากที่สุด หลายๆท่านอาจตอบไปได้ ร้อยแปด ไม่ว่าจะเป็นน้ำส้ม น้ำฝรั่ง น้ำชา (ก็ยังแบ่งไปได้ เป็นชาซีลอน ชาอังกฤษ ชาจีน หรือบางท่านก็ชอบชาสมุนไพร ชานม ฯลฯ ) ........กาแฟสด (บางท่าน ก็ชอบ ม็อคค่า บางท่านชอบคาปูชิโน่ ฯลฯ) ชอบน้ำหวานครีมโสดา และอีกสารพัดเครื่องดื่ม ฯลฯ .......แต่ เมื่อผมถามว่า ในแต่ละวัน ท่านดื่มเครื่องดื่มแบบไหน มากที่สุด ....คำตอบที่ได้ ย่อมหนีไม่พ้น "น้ำเปล่า " ................ น้ำเปล่า ที่ไม่มีการปรุงแต่ง สี กลิ่น รส ...........เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น (มันเป็นปรัชญา ให้ท่าน ได้ไปคิดเอาเองนะครับ)

**********************************************************

..........ดูละครให้เป็นกุศล ส่งเสริมการคิดชอบ ปฏิบัติชอบ ทำได้หรือไม่

....................ถ้าเอาแบบพื้นๆ ก็อย่างเช่น ถ้าเห็น สิ่งที่ดีๆ สิ่งที่ส่งเสริมคุณงามความดี ในละคร จิตก็เกิดนึกยินดี ชื่นชม สรรเสริญ ในความดีงาม .........เห็นตัวละคร เข้าวัด ทำบุญ บำเพ็ญประโยชน์ ก็นึกชื่นชม ว่าเป็นความพยายามของคนสร้าง ที่ต้องการจะสื่อสิ่งดีๆงามๆ (อย่างเช่น ละคร ช่วงสายๆ ของวันหยุด เสาร์ - อาทิตย์ ที่ผมเคยเห็น)

************************************************************

.................การฝึกควบคุมจิตแบบที่กล่าวมานี้ ในทางพุทธศาสนา เรียกว่า "การฝึก จิตตานุปัสนาสติปัฏฐาน " คือ ใช้สติมากำหนดจิตให้รู้ว่า เป็นกุศล หรือ อกุศล แล้วก็รู้ทัน สามารถควบคุมจิตใม่ให้เป็นอกุศล ตัดการปรุงแต่งที่เป็นอกุศล ........เป็น 1 ใน 4 ของการฝึกเจริญสติปัฏฐาน 4 ซึ่ง ถ้าฝึกบ่อยๆ ก็จะสามารถลดกิเลส ให้เบาบางลง จนถึงขั้นดับกิเลสได้อย่างเด็ดขาด (โดยเฉพาะ ถ้าได้รับการฝึกปฏิบัติอย่างถูกต้องจากผู้ที่รู้จริง ก็จะสามารถเข้าถึง "นิพพาน" ได้ )


.............ที่แน่ๆ สำหรับตัวผมเองนั้น ก็พอจะเริ่มเห็นผลบางอย่างที่เป็นไปในทางที่ดีขึ้น จากการฝึกจิตแบบนี้ .......

...........อย่างเรื่อง กิเลส บางสิ่งบางอย่าง ที่เมื่อก่อน ในใจผม มีความอยาก ความต้องการกิเลสพวกนี้มาก แล้วผมก็มีความกระวนกระวายอยากได้ .......แต่พอมาฝึกจิตด้วยวิธีนี้ คือพอ ใจเกิดกิเลส ความอยากความต้องการขึ้นมาทีไร ผมก็ จับได้ไล่ทันจิตของตัวเองแล้วก็นึกถึง "กฏของไตรลักษณ์" ....ความไม่เที่ยง ไม่จีรัง (ของ บางสิ่งบางอย่างที่ผมอยากได้ ต้องการ) ..ทุกครั้ง ......พอทำบ่อยๆเข้า ความอยาก ความต้องการเหล่านั้น มันก็ลดน้อยลงไปเอง .......จนเดี๋ยวนี้ ผมก็ไม่ค่อยมีกิเลส แบบนั้นอีกแล้ว ..........ใจผม ก็มีความสุข สงบ เย็น ไม่ร้อนกระวนกระวายเพราะความอยากให้ได้สมใจในกิเลสเหล่านั้นอีก .............................

...........นอกจากนี้ ผมยังมองเห็นว่า จิตที่ได้รับการฝึกมาดี สามารถแก้ปัญหาเชิงสังคมได้อย่างแท้จริง ........ปัญหาเด็กติดเกมส์ ...........ปัญหาพฤติกรรมความก้าวร้าว เลียนแบบจากเกมส์คอมพิวเตอร์ จากหนัง ละคร ..........ปัญหาติดเซ็กส์ ...........ปัญหาต่างๆของวัยรุ่น ฯลฯ

.............อธิบายด้วย "กฏ อิทัปปัจจยตา" ก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย .....สิ่งต่างๆเกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัยให้มันเกิดขึ้น ถ้าเหตุปัจจัยนั้น สลายไป สิ่งนั้นๆก็สลายไปด้วย ...........
.............ในที่นี้ก็คือ อวิชา ...โมหะ ....เป็นปัจจัยให้เกิด กิเลส ...........เมื่อเกิดกิเลส ก็เกิดการปรุงแต่งให้เกิดทุกข์ร้อน ..........พอได้สมใจ ก็หายทุกข์ หายร้อน แต่ก็ เป็นชั่วคราว พอสูญเสียมันไป ก็กลับมาทุกข์อีก ...........หรือ ร้ายกว่านั้น ......คือ ....พอได้สมใจ แล้ว ก็เกิดกิเลส ความต้องการใหม่ ที่ใหญ่ กว่าเดิม มากกว่าเดิม เข้าไปอีก ......ก็ยิ่งทุกข์ ยิ่งดิ้นรนหนักขึ้นอีก ....
......................แต่ถ้า รู้ทัน สภาวะธรรมตามจริง ทำลายโมหะ อวิชาลง กิเลสก็ดับ .......การปรุงแต่ง ก็ไม่เกิด ............ความอยาก ความต้องการ ก็ไม่เกิด ........ความทุกข์ร้อน ความรุ่มร้อน ก็ไม่เกิด ก็จะเหลือแต่สภาวะที่สงบ และ เย็น เพราะไม่มีการปรุงแต่ง ไม่ถูกฉุดกระชากลากถูด้วยแรงกิเลส .............................


...................จิตนั้น จึงสำคัญมากในการกำหนดการกระทำ และ วิถีชีวิตของเรา ......จิตที่ฝึกมาดีแล้ว ก็ย่อมนำพาวิถีชีวิตเราไปในทางที่ดี

ดั่งวลีที่ว่า "จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว" !

Mr.K..Cheng Gong (จิ้งจอกหน้าหยก เซียวอิงจวิ้น)


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์