"ร้องไห้ทุกวันเลย เป็นชั่วโมงเลย นั่งรถไปทำงานคนเดียว ร้องจนถึงบ้านยันหลับตลอด 2 เดือน ก็คิดว่าถ้าจะอยู่ต่อไปคือตรอมใจตาย เราไม่อยากทนเจ็บอย่างนี้แล้วนะ ทีเดียวไปเลย ให้มันสุดๆ ไปเลย แล้วมันจะได้หยุดสักที"
นี่คือความรู้สึกของผู้หญิงคนหนึ่งที่ตกอยู่ในสถานการณ์ อันถือเป็นฝันร้ายของผู้หญิงเลยก็ว่าได้ เมื่อรู้ว่าสามีคนที่นอนข้างๆ มากว่า 7 ปีเป็น "เกย์" !!!! ชีวิตที่เธอเคยคิดว่าใช่นั้นกลับไม่เป็นอย่างที่หวัง เธอขอที่จะไม่เปิดเผยชื่อจริง และหน้าตา แต่คุณกี้ (นามสมมติ) พร้อมจะเปิดเผยประสบการณ์ชีวิตครั้งนี้ให้เราฟัง ถึงการกลับมายืนอย่างสง่างามอีกครั้งหลังชีวิตถูกพายุเข้าถาโถม
เริ่มต้นชีวิตคู่
รู้จักกับสามีเพราะพ่อเราเป็นเพื่อนกัน เราคบกันมาเกือบ 2 ปีแล้วถึงตกลงแต่งงาน เขาเป็นคนรักแม่ เป็นคนดูแลเอาใจใส่คนรอบข้าง ส่วนเราเป็นคนสุขภาพไม่ค่อยดีเลยอยากได้ใครสักคนมาดูแลเรา เขาไม่ต้องรวยมาจากไหน ไม่ต้องหล่อล่ำอะไร และไม่ต้องเก่งอะไรมากมาย ไม่ต้องมีอนาคตเลิศหรู เราไม่ได้หวังอะไรแบบที่ผู้หญิงส่วนใหญ่เขาควรจะหวังกัน ไม่ได้คาดหวังกับชีวิตแต่งงานมาก คิดว่าแต่งแล้วคงมีบ้าน มีสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน ได้อยู่กับครอบครัว ทำงานหาเงินกันไป ความฝันธรรมดาๆ ที่พึงจะมีได้
เราไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะเป็นเกย์์ ตอนที่คบกัน เพื่อนๆ ไม่ได้รู้เห็น ไปเจออีกทีก็วันแต่งเลย ก็เคยมีเพื่อนเกริ่นๆ เรื่องนี้กับเราเหมือนกัน แต่เราไม่ได้คิดอะไร คิดว่าอาจเป็นเพราะเขาเหมือนแม่ สนิทกับแม่มาก
"พอแต่งแล้ว เขาไม่เคยมีอะไรกับเราเลย อ้างว่าป่วยเป็นไวรัสตับ บี จนเข้าปีที่ 4 เรารู้สึกอยากมีลูก บอกว่าเขาอายุเยอะแล้ว อีกอย่างเรารู้ตัวเองว่าไม่ค่อยแข็งแรง ถ้าปล่อยเลยไปมากกว่านี้มันจะยิ่งแย่ แล้วตอนนี้เราก็พร้อมแล้ว เงินทองก็พอมี แต่เขากลับอ้างเรื่องสุขภาพ"
เมื่อความลับเปิดเผย
"เคยมีน้องของเพื่อนที่เป็นเกย์ เขาเคยเห็นสามีเราก็ทักเรื่องนี้นะ แต่เราความรู้สึกช้าไง จนมาวันหนึ่ง คือปกติตัวเองจะรับจ๊อบ แล้วส่งงานทางอินเทอร์เน็ตซึ่งไม่ถนัดเลย เราก็จะขอให้เขาช่วยส่งให้ทุกครั้ง เผอิญวันนั้นเขาไม่อยู่เลยลองส่งเอง แล้วไปกดโดนอะไรไม่รู้เข้า มันก็ขึ้น History ที่เคยเข้าเว็บไซต์ไว้ เป็นเว็บประเภทนั้นทั้งนั้นเลย โอ้โห...เป็นร้อย
ตอนแรกที่เจอเรายังไม่เชื่อเท่าไร เลยจับตาดูพฤติกรรมเขาตลอด ยังเคยพูดแย็บๆ แหย่ๆ เขาเลยว่า ผู้หญิงที่มีสามีเจ้าชู้ยังไม่น่าสงสารเท่าผู้หญิงที่สามีเป็นเกย์ มันเหมือนชีวิตพังทั้งชีวิตเลยนะ เขาก็เฉย หรือเวลาเขาหัวเราะ ก็เคยพูดว่าหัวเราะเสียงแบบนี้เหมือนกะเทยเลย เขาแบบปรี๊ดเลย มันก็ยิ่งทำให้เรารู้สึกว่า มันใช่นะ คิดอยู่นานเลยตัดสินใจบอกเพื่อนสนิท เพื่อนก็บอกว่าลองดูสิ ว่าเราจะอยู่ได้ไหม ถ้าอยู่ได้ก็อยู่ไป แต่ถ้าอยู่ไม่ได้ก็ต้องตัดสินใจอะไรสักอย่าง
เรากลับมานั่งคิดๆ ดู นอกจากเรื่องนี้แล้ว สามีเราก็มีปัญหาเรื่องเงินด้วย เขาเป็นข้าราชการทำบัตรเครดิตไม่ได้เพราะเงินเดือนไม่ถึง แต่เรามีบัตรเครดิตเยอะแต่ไม่ค่อยได้ใช้ เขาก็ขอให้ทำบัตรเสริมให้ ทำประกันให้ มีบัตรเครดิตประมาณ 4-5 ใบที่ไปทำไว้เป็นชื่อเรา เราก็ไม่ได้สนใจอะไร จนธนาคารมาทวงหนี้บอกว่าสามีคุณน่ะใช้บัตรเสริม ไม่ได้จ่ายหนี้มาหลายเดือนแล้ว
"คือเวลาใบแจ้งหนี้มาเราเองไม่เคยเห็นหรอก เพราะเขาเลิกงานก่อนก็แอบเก็บไว้ กว่าเราจะรู้หนี้ก็ไม่รู้เท่าไหร่แล้ว หรืออย่างโทรศัพท์ก็ใช้ซิมชื่อเรา โทรเตลิดเปิดเปิงจนค้างค่าโทรศัพท์อยู่ 15,000 รับจ๊อบมากี่งานๆ ก็เอามาจ่ายหนี้หมด เป็นอย่างนี้ช่วง 4 ปีหลังมานี่ เขาคงจะย่ามใจว่าเราไม่เคยค้นกระเป๋า คือเราไม่เคยใช้นิสัยผู้หญิงก็เลยไม่รู้ เวลาเขาเงินไม่พอใช้ เราให้ได้ก็แบ่งกันไป พอหลังๆ มานั่งคิดดู อะไรที่เกี่ยวกับการเงินเขาจะให้เรารับผิดชอบหมด จะผ่อนจะใช้อะไรก็เป็นชื่อเรา
ช่วงนั้นนั่งรถไปทำงาน ร้องไห้ทุกวัน ร้องเป็นชั่วโมงเลย ร้องจนถึงบ้านยันหลับ เป็นอย่างนี้ทุกวันตลอด 2 เดือน คิดว่าถ้าอยู่ต่อไปคือตรอมใจตาย คือเราไม่อยากทนเจ็บอย่างนี้แล้ว ทีเดียวไปเลย ให้มันสุดๆ ไปเลย แล้วจะได้หยุดสักที กลับบ้านไปบอกพ่อแม่ พี่น้องว่ามันเป็นอย่างนี้นะ เราอยู่ไม่ได้แล้ว
ตัดสินใจขอเขาหย่า ก็บอกเขาว่าช่วยบอกเราให้ชื่นใจหน่อยได้มั้ยว่า เป็นจริงหรือเปล่า คือใจยังแอบหวังว่ามันจะไม่ใช่อย่างที่เราคิด แต่ปรากฏเขาบอกว่าเป็นเกย์จริง แต่เพิ่งเป็นแค่ 2 ปีเองนะ เขาหาว่าเราเอาแต่ทำงานไม่สนใจเขาๆ ก็เลยเป็น แล้วยังบอกอีกว่าเราทำไมทำร้ายเขาแบบนี้ เราเลยบอกไปว่าแล้วสิ่งที่ทำกับเราล่ะ ชีวิตเราทั้งชีวิตพังเลยนะ เขาก็ได้แต่เงียบ สุดท้ายก็ไปหย่าทางกฏหมายให้ แต่มันจะมีหย่าสองอย่างคือ หย่าทางกฎหมาย กับทางศาสนาอิสลาม ซึ่งต้องมีการพูด มีพยาน ตอนนี้ก็เท่ากับว่าทางศาสนาเรายังผูกพันกันอยู่ แต่ไม่เป็นไรยังไงเราขอเอาทางกฎหมายก่อน เพราะกลัวเรื่องหนี้สิน ใบเสร็จ ใบแจ้งหนี้อะไรเป็นชื่อเราหมด
"เราเจ็บแค้นนะ แต่ไม่ได้คิดร้าย ไม่ได้เสียดายทรัพย์สินเงินทอง แต่เสียดายเวลา เสียดายสิ่งที่เราทุ่มเททำทุกอย่างไป อย่างปลูกบ้านก็ออกแบบเอง ต้นไม้ทุกต้นปลูกเอง ห้องนอน ห้องน้ำต้องอยู่ยังไง มันเป็นบ้านในความฝันเลย คือฝันว่าอยากมีบ้านแบบนี้ จ่ายเงินเพื่อให้ได้ของดีที่สุดที่เราสามารถหาได้ แต่สุดท้ายมันพังหมดเลย"
"ตอนที่หย่ากันเราเพิ่งย้ายมาบริษัทใหม่ ยังไม่รู้จักใครจะมีก็แต่หัวหน้าคนเดียว แต่เขาก็ไปต่างประเทศ จะโทรปรึกษาหรือระบายกับใครก็ไม่ได้ เพราะมันพูดไม่ออก พูดแล้วจะร้องไห้ อยู่บ้านก็ร้องไม่ได้ พอเห็นคนที่บ้าน เราบอกตัวเองว่า ฉันร้องไม่ได้นะ ก็เลยได้แต่เก็บๆๆๆ เอาไว้ กินอะไรไม่ลงจนน้ำหนักหายไป 7 กิโลฯ ยังไม่รู้ตัวเลย ทีนี้ร่างกายก็ทรุดสิ เป็นทั้งภูมิแพ้ ไซนัส โรคผิวหนัง หมอบอกคุณอย่าเครียดนะ ถ้าเครียดแล้วโรคมันจะมา มันจะเป็นเว่อร์กว่าคนอื่นเขา ช่วงนั้นผอมมากจนต้องไปหาหมอ พอไปเช็กก็พบว่าเป็นไทรอยด์แบบผอม คือภูมิต้านทานต่ำ สภาพจิตใจมันทรุด ทีนี้ก็เจาะเลือดเป็นว่าเล่นเลย ผิวหนังก็ไปฉายแสง อาทิตย์ละ 3 วัน
"ทรุดอยู่ประมาณปีครึ่ง ก็เริ่มคิดได้ว่าทำไมฉันไม่รักตัวเองนะ มองกลับไปที่บ้านเห็นแม่ เห็นพี่ เห็นน้อง เวลาเขามองเราน้ำตาเขาไหล ก็คิดได้ว่าคนอื่นทำร้ายเรา ครอบครัวเราก็เจ็บปวดด้วย ยิ่งเราทรุดเท่าไหร่ครอบครัวเราก็ยิ่งแย่ไปกับเราด้วย เลยฮึดว่าต้องอยู่ให้ได้ ทีนี้หมอสั่งอะไรมาทำทุกอย่าง บอกมาเถอะ ที่ยังอยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะมีครอบครัวที่เข้มแข็ง คอยให้กำลังใจ ช่วยเหลือ ตอนหลังมาเก็บตังค์ซื้อบ้านได้ เริ่มผ่อนบ้าน มันเหมือนมีอะไรเป็นของตัวเอง แล้วเป็นคนชอบแต่งสวนด้วย พอมีอะไรทำ ก็มีกำลังใจขึ้น แล้วก็มีเพื่อนที่ดีช่วยกันพยุง
"ถามว่าทำไมถึงทนอยู่มาตั้ง 7 ปี เราไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองต้องทนเลยนะ เราไม่ได้มองเขาในแง่เนกาทีฟ มองแค่ว่าอยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข อยู่ดูแลกันไปจนแก่จนเฒ่า คือถ้าไม่รู้เรื่องเป็นเกย์ก็คงไม่หย่าหรอก"
ชีวิตที่ต้องดำเนินต่อไป
ตอนนี้เข็ดกับเรื่องแต่งงานไปแล้ว ความรู้สึกของเรามันปิด เห็นผู้ชายตอนนี้ก็กลัวว่าจะเป็นกะเทยไปหมด คนไหนที่ดูแมนๆ พอเข้ามาแล้วทำอะไรที่ดูเห็นแก่ตัวนิดนึง เราก็ไม่รับแล้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงไม่ถึงขนาดนี้ จริงๆ เราไม่ใช่คนมีสเปก แต่ตอนนี้มันเหมือนมีเกราะ มีกำแพงมากขึ้น พอเขาทำอะไรซึ่งอาจเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับเรามันกลายเป็นเรื่องใหญ่โตรุนแรง เลยไม่สามารถจะอยู่กับใครได้
ถ้าถามว่าตอนนี้มีความสุขหรือยัง ก็มีนะแต่ไม่ถึงที่สุด ยังลืมได้ไม่หมด อย่างตอนที่ไปเดินซื้อของเข้าบ้าน เราก็จงใจไปที่เดิมที่เคยไปซื้อกับเขา เพื่อจะดูว่าตัวเองไหวรึเปล่า น้ำตาก็ซึมๆ นะ แต่ก็บอกกับตัวเองนะว่าฉันดีขึ้นมาระดับนึงแล้ว เมื่อก่อนแค่เอ่ยชื่อยังไม่ไหว ของอย่างนี้มันต้องใช้เวลา เวลาสำคัญมาก มีคนเคยบอกให้ทำใจ พูดมันง่ายแต่ทำไม่ได้ มันบังคับไม่ได้ วันเวลาเท่านั้นแหละที่มันจะช่วยให้เราค่อยๆ ลืมว่าเราเคยเจ็บปวดแค่ไหน
เราเรียนรู้ว่าไม่ว่าใครจะทำอะไรกับชีวิตเรา จะเลวร้ายขนาดไหน เราอย่าทำร้ายตัวเอง มันอาจจะมีบ้างที่เราจะเซ หรือล้มลุกคลุกคลาน แต่มันไม่ถึงตายหรอก ถ้าเราล้มแล้วเรานอนครวญครางอยู่อย่างนั้น ไม่นานเราก็ตาย เราต้องลุกขึ้นมาเอง ไม่มีใครดึงเราให้ลุกขึ้นได้ ไอ้ความเจ็บปวดนี่เราแบ่งให้ใครไม่ได้ เราไม่สามารถเอาให้พ่อ 1 ให้แม่ 1 เราจะได้เหลือแค่ 1 ความจริงก็คือมันยังเจ็บ 10 เหมือนเดิม
โดยที่พ่อแม่พี่น้องเราก็เจ็บอีก มันเหมือนโดนมีดแทงแล้วปักไว้อยู่อย่างนั้น ปล่อยเอาไว้มันเจ็บอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าเราเอามันออก มันหายนะ มันอาจจะเจ็บมากกว่าเดิมในช่วงแรกๆ แต่ในที่สุดมันก็จะหาย เพราะฉะนั้นดึงมันออกทีเดียวเลยดีกว่า
นั่นเป็นบางส่วนของวันร้ายในชีวิตผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ในที่สุดเธอก็สามารถลุกขึ้นยืนได้อีกครั้งด้วยตัวของเธอเอง เพื่อที่จะกลับมามีความหวังในชีวิตใหม่อีกครั้ง วันนี้ที่เราได้พูดคุยกับเธอเราสัมผัสได้ถึงพลังของการเริ่มต้นและชีวิตชีวาในตัวเธอ ที่ผ่านมากับรอยยิ้ม แม้นั่นจะเป็นเรื่องราวที่เคยทำให้ชีวิตของเธอแทบล้มทั้งยืนก็ตาม คนเราต่อให้ชีวิตผ่านเรื่องราวเลวร้ายมามากแค่ไหน ชีวิตก็ยังคงเดินหน้าต่อไปได้ถ้าเรามองสิ่งนั้นอย่างมีทางออกและมีพลังใจให้กับตัวเอง
ข้อมูลและภาพประกอบจาก