คนเราก็หนีไม่พ้นกฎธรรมชาติของการสืบเผ่าพันธุ์เมื่อถึงวัย เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น ร่างกายก็ผลิตฮอร์โมนแห่งความรักความต้องการทางเพศ เพื่อให้มนุษย์เกิดความรู้สึกรักและผูกพันต่อคู่ของตน เป็นจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่การมีความสัมพันธ์กันในระดับลึกซึ้งต่อไป
สมัยอดีตวิธีการที่คนไทยรุ่นคุณปู่คุณย่าตอนเป็นหนุ่มเป็นสาวแสดงความรักต่อกัน จะค่อนข้างละเมียดละไม ใช้วิธีส่งจดหมาย ร้อยกรอง เพลงยาว ประดิษฐ์เขียนกันเป็นหน้าๆ พรรณนาความรู้สึกนึกคิดสละสลวยงดงาม ฝากม้าใช้คนเดินทางเพื่อส่งถึงกัน ใช้เวลาเป็นวันเป็นเดือนกว่าจะได้แสดงความรักต่อกันทีหนึ่ง กว่าจะได้พบปะกันสักครั้งฝ่ายชายอาจต้องวิ่งหลบไม้ตะพดของผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงอยู่นานเป็นปี ด้วยวัฒนธรรมไทยที่ไม่อยากให้กุลสตรีได้ต้องเนื้อชายจนกว่าจะถึงเวลาอันควร สอนให้รู้จักระงับความต้องการ ไตร่ตรอง บ่มความรักจนกว่าจะแน่ใจตัวเอง จนเมื่อผู้ใหญ่อนุญาตจึงจะมีสิทธิ์ร่วมหอลงโรงกัน ความรักจึงมักจะไม่ค่อยมีแบบฉาบฉวย สามารถใช้ชีวิตคู่ร่วมกันจนแก่เฒ่า เวลาเล่าเรื่องให้ลูกหลานฟังแต่ละทีเหมือนเลิฟสตอรี่อันสุดจะคลาสสิค การปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนต่างเพศของวัยรุ่นสมัยนี้ก็ไม่ต้องร้องเพลงยาวสื่อสารความในใจ ไม่ต้องจ้างม้าใช้ไปส่งข่าว แค่พิมพ์แล้วคลิ้กทีเดียวทุกอย่างก็ไปถึงไหนๆ แล้ว สิ่งที่ตามคู่กันมาคือเรื่อง sex ไม่อยากเชื่อก็คงต้องเชื่อและยอมรับความจริงกันว่าเด็กรุ่นใหม่เรียนรู้เรื่อง sex ด้วยตัวเองได้มาก และง่ายกว่าสมัยก่อนมาก หนุ่มน้อยไม่ต้องแอบไปหาหนังสือลับเฉพาะจากที่ไหนมาแอบอ่านใต้เตียงเพียงแค่นั่งหน้าคอมพิวเตอร์ก็แจ่ม แล้วไม่นับวีซีดีหนังติดเรทที่หาซื้อได้อย่างเปิดเผยทั่วไปไม่เหมือนเมื่อก่อน ยิ่งเมื่อเห็นตัวอย่างหนุ่มสาวที่ยังไม่สลัดคราบนักเรียนในหนังฝรั่งที่กอดจูบมี sex กันตั้งแต่สบตาปิ๊งแรกจนชิน ก็ไม่แปลกนักที่เด็กไทยรุ่นใหม่บางคนจะอยากลองทำตามด้วยความอยากรู้อยากเห็นและแรงขับตามธรรมชาติ บวกกับภาพที่เห็นจากสื่อต่างๆ จนชินตั้งแต่เด็กจนโต ก็ทำให้คิดว่าความรัก และการมี sex เป็นเรื่องที่แยกจากกันไม่ได้ ต้องเกิดคู่กันเสมอ ไม่ได้สนใจว่าตนจะยังอยู่ในวัยที่พร้อมต่อการมีครอบครัวแล้วหรือไม่ หรือสนใจปัญหาที่ตามมาจากการแสดงความรักเช่นนี้ วัยรุ่นหลายคนเข้าใจว่าการมี sex ตั้งแต่วัยเรียนเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดา บางคนถึงกับนำมาคุยอวดแข่งขันสถิติกันในหมู่เพื่อนฝูงที่โรงเรียนเลยก็มี
แท้จริงแล้วเด็กวัยรุ่นควรจะได้เรียนรู้ว่า ความรัก กับเรื่อง sex เป็นเรื่องที่แยกจากกันคนละเรื่อง จากผลสำรวจที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาเพศศาสตรศึกษา สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำรวจความคิดเห็นนักศึกษาชายหญิงระดับอุดมศึกษา จำนวน 500 คน ได้ผลที่ทำให้ใจชื้น เมื่อสอบถามนักศึกษาชายถึงการจะรักผู้หญิงสักคนโดยไม่ต้องมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานได้หรือไม่? นักศึกษาส่วนมาก (64.75%) ตอบว่าได้ มีเพียงส่วนน้อยที่ตอบว่าไม่แน่ใจ (32.79%) และบางส่วนเท่านั้นตอบว่าไม่ได้ (2.45%) และเมื่อถามความคิดเห็นในกรณีที่ถ้าคู่รักของเขาไม่ยอมมีเพศสัมพันธ์ด้วยก่อนแต่งงาน เขาจะยังคงรักเธอหรือไม่? ส่วนมาก (90.98%) จะยังคงรัก ขณะที่เพียงบางส่วน (9.02%) เท่านั้นที่ตอบว่าไม่แน่ใจ แต่ไม่มีใครตอบว่าจะเลิกรักคนที่ปฏิเสธการมีเพศสัมพันธ์ด้วย การศึกษาชิ้นเดียวกันนี้ได้ผลที่นำไปสู่ความจริงที่วัยรุ่นวัยทีนหญิงชายควรรู้ คือ เมื่อมีเพศสัมพันธ์กับฝ่ายชาย ไม่ได้หมายความว่าเขาจะรักและเห็นว่าฝ่ายหญิงเป็นคนพิเศษของเขา แต่เมื่อมีเพศสัมพันธ์กันแล้ว ฝ่ายหญิงกลับจะต้องเฝ้าระวังไม่ให้ฝ่ายชายตัดสัมพันธ์ หรือต้องคอยทวงสัญญาจากเขาอยู่ร่ำไป ถ้าฝ่ายชายรักฝ่ายหญิงอย่างจริงใจแล้ว เขาจะคอยเวลาที่จะเป็นเจ้าของฝ่ายหญิงได้ และยังมีชายอีกมากที่ตั้งใจรอการแต่งงานกับคนที่เขารัก การเปิดใจพูดคุยกับลูกวัยรุ่น ทำตัวเหมือนเพื่อนคนหนึ่ง คอยสอบถามถึงความเป็นไปของตัวเขาและกลุ่มเพื่อน รวมทั้งความสัมพันธ์ของลูกกับเพื่อนต่างเพศ โดยไม่มีท่าทีปิดกั้นหรือห้ามการคบหา แต่ให้คำแนะนำในการสังเกตพฤติกรรมเพื่อน และวิธีปฏิบัติตัวที่เหมาะสมกับวัยของเขา จะช่วยให้เขากล้าที่จะเล่าเรื่องราวรอบตัวให้พ่อแม่ได้รับรู้ และเห็นพ่อแม่เป็นที่ปรึกษาที่ไว้ใจได้ ซึ่งพ่อแม่เองก็จะได้รู้ด้วยว่าเขาอยู่ในสภาพแวดล้อม สังคมที่มีลักษณะอย่างไร เห็นโอกาสที่ลูกอาจจะพลาด และจะช่วยตักเตือนหรือป้องกันเขาไม่ให้เดินในทางที่ผิดพลาดได้ในที่สุด ที่มาข้อมูล :นิตยสาร Health Today |