โรคของใจ
ชีวิตของเรามี 2 ส่วนด้วยกัน มีทั้งร่างกายและจิตใจ
ร่างกายที่เราเห็นได้ เพราะเป็นรูปธรรม เรารู้ว่าร่างกายนี้เกิดมา
แล้ว ในที่สุดก็ต้องตายและเมื่อเอาไปเผาก็กลายเป็นขี้เถ้าขี้ถ่านไป
แต่เราไม่เห็นจิตใจ...จิตใจเป็นนามธรรม เหมือนกับกระแสวิทยุ
โทรทัศน์ที่มีอยู่รอบตัวเราในขณะนี้ แต่เรามองไม่เห็น แต่ถ้าเราเอา
วิทยุหรือเอาโทรทัศน์มาเปิด เราก็จะรับภาพรับเสียงได้ แต่ตาของ
เราไม่สามารถมองเห็นกระแสวิทยุหรือโทรทัศน์นี้ได้ ฉันใด..ตาของ
เราก็ไม่สามารถมองเห็นจิตใจของเราได้ เราจึงไม่รู้ว่าเมื่อร่างกาย
นี้ตายไปแล้ว จิตใจยังต้องไปเกิดอีก...ไปเกิดเป็นอะไร ก็สุดแท้แต่
บุญกรรมที่เราทำไว้ มีแต่พระพุทธเจ้าพระองค์แรกเท่านั้น ที่รู้สิ่ง
เหล่านี้ พระพุทธองค์ทรงปฏิบัติธรรม ทรงชำระใจที่มืดบอดให้
สว่างด้วยแสงสว่างแห่งธรรม เมื่อมีแสงสว่างแห่งธรรมคือปัญญา
แล้ว ก็จะเห็นในสิ่งที่ตาเนื้อมองไม่เห็น เห็นจิตวิญญาณ...เห็นดวง
จิตดวงใจของเรา รู้ว่าจิตวิญญาณเป็นของไม่ตาย เมื่อออกจากร่าง
นี้ไปแล้ว ก็ต้องไปเกิดใหม่ จะไปสูงไปต่ำ..ไปสุคติหรือทุคติ ก็ขึ้นอยู่กับ
บุญกรรมที่ทำไว้ในปัจจุบันและในอดีตชาติก่อนๆ วิบากกรรมที่ยังไม่
ได้แสดงผลขึ้นมา ก็จะสะสมไปเรื่อยๆรอเวลาที่จะแสดงผล เหมือน
กับการปลูกต้นไม้ ต้นไม้บางต้นบางปีก็ไม่ออกดอกออกผล แต่จะรอ
ไปอีกปีสองปี ถึงค่อยออกดอกออกผล กรรมเก่าหรือบุญเก่าที่เราเคย
ทำไว้ในอดีตชาติก่อนๆก็เป็นแบบนั้น อาจจะยังไม่มีโอกาสได้แสดงผล
ก็รอโอกาสแสดงผลในภพต่อๆไป เวลาที่เราตายจากร่างนี้ไปแล้ว...
ดวงวิญญาณของเราก็จะต้องออกจากร่างนี้ แล้วก็ต้องถูกวิบากกรรม
คือบุญหรือกรรมผลักดันให้ไปเกิดอีก นี่เป็นสิ่งที่พวกเราไม่รู้ไม่เห็นกัน
มีแต่พระพุทธเจ้ากับพระอริยสงฆ์สาวกเท่านั้น ที่จะเห็นเรื่องของจิตวิญ-
ญาณได้ เมื่อท่านเห็นแล้วท่านก็นำเอามาสั่งสอนพวกเรา ถ้าพวกเราเป็น
คนฉลาด ฟังแล้วก็คิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะปฏิเสธ เพราะว่าคนเราถ้ายังไม่
รู้ยังไม่เห็นอะไร ก็ไม่ควรที่จะปฏิเสธ ในขณะเดียวกันก็ยังไม่ต้องรับไปทั้ง
หมดเลย ไม่ต้องไปเชื่อแบบงมงาย เพราะพระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้เชื่อ
แบบงมงาย สอนให้เชื่อเพื่อนำไปปฏิบัติ เอาไปทดลองแล้วจะเห็นผล....
ธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้า เปรียบเหมือนกับยารักษาโรค เป็นยาที่พระ-
พุทธเจ้าได้ทรงทดลองแล้ว แล้วก็ได้หายจากโรคไปแล้ว จึงทรงนำมาให้
พวกเราลองทดลองดู พวกเราอย่าไปปฏิเสธ เพราะถ้าปฏิเสธเราก็จะไม่รู้
ว่ายานั้น ดีหรือไม่ดีอย่างไร...แต่ถ้าเรารับมาแล้ว ก็ทดลองดู ถ้าไม่ดีไม่หาย
ก็ไม่ขาดทุนอะไร แต่จะรู้ว่ายานี้ใช้ไม่ได้ ถ้ายานี้กินเข้าไปแล้ว..ทำให้โรคภัยไข้
เจ็บหายไปได้ เราก็จะได้กำไรได้ประโยชน์.. ฉันใดจิตใจของพวกเราก็เป็นเช่น
นั้น จิตใจของพวกเราส่วนใหญ่มักจะมีแต่ความทุกข์ มีแต่ความว้าวุ่นขุ่นมัว
มีความวุ่นวายใจ ส่วนความสุขวันๆหนึ่งแทบจะไม่ค่อยมีเลย มีนิดมีหน่อย
แล้วก็ถูกความทุกข์ความกังวลใจ มาครอบงำเสียส่วนใหญ่ นี่แหละคือ..'โรค
ของใจ'...ที่จะรักษาเยียวยาให้หายขาดได้ด้วย'ธรรมโอสถ'...คือพระธรรมคำ
สอน เมื่อเราเชื่อว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนเป็นสิ่งที่ถูกต้อง มีเหตุมีผล
ผู้ใดนำไปปฏิบัติแล้ว ย่อมได้รับความสุขความเจริญตามที่ปรารถนากัน จึงเกิด
ความเชื่อขึ้นมาและเกิดปัญญาตามมา เพราะเมื่อนำสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน
มาประพฤติปฏิบัติแล้ว อย่างวันนี้้เรามาทำบุญทำทาน มารักษาศีล มาฟังเทศน์
ฟังธรรมกัน จิตใจของเราก็จะมีความสงบ มีความเย็น..มีความสุข..มีปิติขึ้นมา
มากน้อยก็ขึ้นอยู่กับกำลังความสามารถของแต่ละท่าน ที่จะนำเอาเข้าไปสู่จิตใจ
ถ้านำเข้าไปได้มาก ก็เหมือนกินยามาก กินยามากโรคก็จะหายเร็ว ถ้ากินยาน้อย
โรคก็จะหายช้า ถ้านำธรรมไปปฏิบัติได้มาก...ความทุกข์ก็จะหายไปมาก ถ้าปฏิบัติ
ได้น้อย ความทุกข์ก็จะหายไปน้อย....
: พระธรรมเทศนา
พระจุลนายก (สุชาติ อภิชาโต)
วัดญาณสังวรารามวรวิหาร ในพระบรมราชูปถัมภ์ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี
ขอนอบน้อมแด่คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์