สนทนาธรรมกับหลวงปู่ชา
โยม (หญิง) : บางอย่าสมมุติว่ามันเกิดขึ้น อารมณ์ทุกอย่างนี่ถ้า
หากว่ามันแสดงถึงคือ ถ้าหากว่ามีการกระทบมันจะต้องมีอารมณ์
เสมอ มันเป็นเพราะว่ายังมีกิเลสอยู่ใช่ไหมเจ้าคะ...?
หลวงปู่ชา : ใช่...
โยม (หญิง) : แล้วสมมุติอารมณ์บางอย่างมันเกิดมาแล้ว ซึ่งควร
จะพิจารณาแต่ก็กลับปล่อยมันไป เพราะมีความรู้สึกว่ามันสบายใจ
กับอารมณ์อันนี้ อันนี้มันผิดหรือเปล่าเจ้าคะ...?
หลวงปู่ชา : กระแสซึ่งมีมากระทบนี่ เหมือนสิ่งของที่กระทบพื้น....
มันกระทบเฉยๆ เรียกว่าไม่มีอะไร อย่างนกเวลามันร้องก็เหมือนกัน
มันก็ไม่มีอะไร ไอ้ตอนที่สองคือว่ามีอวิชชาเป็นพื้น.....มันจะรู้แล้วว่า
เสียงนก ก็นึกอยากจะจับมันไปขาย นี่ มันเกิดซ้อนกันขึ้นมา ตรงนั่น
ล่ะมันไปแล้วนะ อย่างเขาร้องเพลงนี้..ร้องแพล็บก็กระทบแล้ว...นี่เรียก
ว่าการกระทบ ถ้ามีอวิชชาเป็นพื้นแล้วหลงอยู่ มันก็คิดปรุงขึ้นมาว่า..
แหม..เสียงร้องนี้เพพราะดี รูปร่างมันก็คงจะสวยดี มันก็จะคิดไปของ
มันอยู่อย่างนั้น...ครั้งที่สองนี่เรียกว่า มีอวิชชาสอดใส่เป็นพื้นรองอยู่
กระทบใหม่ๆ มันไม่รู้เรื่องอะไร....กระทบเฉยๆ ได้ยินเฉยๆ...ไม่มีอะไร..
ต่อจากนี้อวิชชามันก็คลุมขึ้น...นี่เสียง...นก แล้วนึกต่อว่าอยากจะจับ
มันไปขาย อยากจะกินเนื้ออะไร มันคิดไปได้อีกหลายอย่าง...นี่เรียกว่า
การกระทบ...
โยม (ชาย) : กระทบนี่ปั๊บมันมาเป็นแถวเลย กระทบนี่มันไม่มีหยุดเลย
ครับ กระทบปั๊บ...นึกถึงนกปุ๊บ แล้วนึกอยากจะจับปั๊บ มาเป็นสายเดียว
กันเลยครับ....
หลวงปู่ชา : แต่ว่ามันขาดช่วงอยู่นะ แต่เราดูมันไม่ทัน ระยะขาดช่วง
มันมีอยู่...แต่ว่าเราตามมันไม่ทัน....
โยม (ชาย) : ทำยังไงถึงจะตามทันครับ...?
หลวงปู่ชา : ต้องทำสติให้มันมากๆขึ้น ใคร่ครวญให้มันมากขึ้น...
โยม (ชาย) : หลวงพ่อครับความเบื่อ ความรำคาญ...นี่มันเป็นอารมณ์
หรือเป็นกิเลส หรือมันเป็นอะไร...คือ อย่างเช้าๆนี่ ผมชอบมานั่งเฉยๆ..
อยู่ใต้ต้นไผ่ แล้วก็ดูไก้แจ้ มองดูเพลินๆ...ประเดี๋ยวมีเสียงโทรศัพท์มา มี
เด็กวิ่งมาบอกว่าโทรศัพท์ค่ะ...แหม มันเซ็งจริงๆเลย มันอาจเป็นเสียง
โทรศัพท์อยู่ข้างล่างก็ได้นะ (หัวเราะ) อย่างนี้มันเป็นอารมณ์ หรือมันเป็น
กิเลส หรือมันเป็นอะไรครับ...?
หลวงปู่ชา : มันคงจะเป็นกับทุกคนละมั้ง อารมณ์นั้นแหละทำให้เกิดกิเลส
ขึ้นมา อารมณ์มันมากระทบให้เกิดกิเลสขึ้นมา คือ..ก็เรียกว่ามันกำลังย่อง
อยู่ในสิ่งที่เราต้องการ ไอ้นี่มาปราบทิ้ง ไอ้การที่เราไม่ชอบนั่นแหละ อันนั้น
มันก็เป็นกิเลสอันหนึ่ง เราไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้น เรากำลังเพลินอยู่..
แต่มันก็มาตัดอารมณ์เราออกไปเสียนี่ ใจเราก็ไม่สบาย..เพราะอารมณ์อันนั้น
โยม (ชาย) : ทีนี้จะแก้ยังไงครับ...?
หลวงปู่ชา : แก้ว่า...ถ้าหากว่าใจเราไม่สบายแล้ว มันจะเกิดประโยชน์อะไร
ไหม..? ถามมันเข้าไป ถ้าหากว่าจิตเราไม่สบายเพราะอารมณ์อันนี้นะ ถ้าเป็น
เช่นนั้นอยู่ทุกครั้งแล้วจะเกิดประโยชน์อะไรไหม ถูกอารมณ์ทุกที ก็ทุกข์ทุก
ที มันสบายไหม ถามตัวมันเอง มันจะตอบของมันเองว่า ตรงที่เราไม่ชอบ
มัน มันก็ไม่สบาย ตรงที่มันไม่สบายก็เป็นทุกข์...เราไม่ชอบมันแล้วทำไมจึง
ไปเอาแต่ทุกข์...สอนมันไป มันจึงจะรู้จัก ให้มันเห็นในตัวของมันเองดังนี้
มันเป็นกันทุกคน แต่ว่าเมื่อเวลาเราอยู่เพลินๆ เวลาเรามีอารมณ์ทุกข์น่ะ
พอมีอารมณ์ที่มันสบายมาผ่านปุ๊บ นี่ก็ดีใจขึ้นอีกแล้วนะ...เพราะมันชอบ
อารมณ์ที่พอใจ ที่มันมากระทบ มันก็เลยดีใจขึ้นมามันก็เหมือนกัน อัน
เดียวกัน แต่มันเปลี่ยนหน้ากันเท่านั้น.....ความดีใจและความเสียใจ ถ้าหาก
มาวัดตามส่วนของธรรมะของแท้นี่ มันเหมือนกัน พูดง่ายๆ ว่ามันเป็น
เรื่องที่ไม่จบ ที่ท่านสอนว่าให้เราจบนั้นน่ะคือ...ให้รู้เรื่องสิ่งทั้งหลายเหล่า
นี้ว่าเป็นโลกุตตระ....มันพ้นจากอารมณ์ทั้งหลายเหล่านี้ ให้มันเหนือสิ่งทั้ง
หลายเหล่านี้...มันก็หมด สิ่งที่เราไม่หมด ก็ต้องเป็นอยู่อย่างนี้...อาตมา
ก็เคยสอนจิตใจตนเหมือนกันว่า เอ้ะ...ทำไมเราไม่ดีใจ ไม่เสียใจ ที่เราเสีย
ใจ ดีใจอย่างนี้ก็เพราะเรายังไม่สำเร็จ...ถ้าเราสำเร็จแล้ว มันไม่เป็นอย่าง
นั้น มันต้องสำเร็จเสียก่อน...มันถึงจะรู้เรื่องเหล่านี้ ตามความเป็นจริง
ของมัน แม้ว่าเราจะมีความดีใจ...มีความเสียใจ แต่ก็ยังมีกำลังอย่างหนึ่ง
เหมือนกันนะ เรารู้จักว่าไอ้ดีใจเกินไปนี่...มันก็ไม่ใช่ทางแล้ว เสียใจเกินไป
นี่....มันก็ไม่ใช่ทางแล้ว เท่านี้มันก็มีปัญญาแล้ว มันไม่ถลำตัวลงไปอย่าง
นั้น นี่...มันตามรักษาไว้....ฯ
~~พระโพธิญาณเถร.... สนทนาธรรมกับญาติโยม~~
ขอนอบน้อมแด่คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์