..ทุกข์หาร ๓...
อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็จะได้เวลาเลิกงาน
คุณรู้สึกครึ้มอกครึ้มใจเพราะวางแผนจะไปดูเรื่องโปรดค่ำนี้
แต่จู่ ๆ ก็ได้รับมอบหมายให้ทำงานชิ้นหนึ่ง
หัวหน้ากำชับว่าต้องทำให้เสร็จในวันนี้ คุณหัวเสียขึ้นมาทันที
เพราะรู้ดีว่างานชิ้นนี้อยู่ในความรับผิดชอบของคนอื่น
แต่เขาลางานกลับบ้านไปก่อน จึงต้องกลายมาเป็นภาระของคุณ
คุณรู้สึกไม่พอใจเพื่อนคนนั้นอย่างแรง
ตอนเที่ยงก็ทีหนึ่งแล้ว กินน้ำแต่ลืมเก็บแก้ว เลยต้องเป็นหน้าที่ของคุณ
เท่านั้นไม่พอ ยังชิ่งงานชิ้นใหญ่มาให้คุณทำอีก
ส่วนหัวหน้าก็ใช่ย่อย ควรวางแผนงานให้ดี
บ่ายนี้ทั้งบ่ายเจ้าคนนั้นว่างตลอด ก็น่าจะมอบงานชิ้นนี้ให้เขาทำ กลับนิ่งเฉย
ครั้นเขากลับบ้านไปแล้ว ถึงค่อยขยับ สุดท้ายก็มาลงที่คุณ
คุณรู้สึกว่า ไม่ยุติธรรมเลย ฉันทำงานเหนื่อยมาทั้งวัน
แต่ยังต้องมารับผิดชอบงานของคนอื่นอีก
ปีที่แล้วฉันได้โบนัสน้อยกว่าเจ้าคนนั้น
แต่ทำไมฉันต้องมาทำมากกว่าเขา
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกเสียด้วยที่ฉันต้องมาเจอแบบนี้
ถ้าเจอแบบนี้อีก ฉันเห็นจะทนไม่ไหวแล้ว
ยิ่งคิด ก็ยิ่งโมโห ผลก็คือยิ่งทำงานชิ้นนั้น
ใจก็ยิ่งทุกข์ พาลหงุดหงิดกับงาน
จนฝืดไปหมด แถมยังทำผิดทำพลาดอยู่เป็นระยะ
แทนที่จะเสร็จในเวลาไม่นาน ก็ลากยาวไปเป็นชั่วโมง ง
านธรรมดา ๆ จึงกลายเป็นงานยากไป
อันที่จริงคุณสามารถทำงานอย่างมีความสุขได้
หากใจไม่ปฏิเสธหรือต่อต้านขัดขืนงานชิ้นนี้ตั้งแต่แรก
ยิ่งต่อต้านขัดขืนมันมากเท่าไร ใจก็ยิ่งเป็นทุกข์มากเท่านั้น
คนเรามีเหตุผลหลายอย่างที่ต่อต้านขัดขืนมัน
เช่น ไม่ยุติธรรมเลยที่คุณต้องทำงานชิ้นนี้
เป็นงานที่ไม่เหมาะหรือคู่ควรกับคุณ
หรือตั้งแง่ว่ามันเป็นงานยากเย็นแสนเข็ญตั้งแต่แรก
เพียงคิดว่า ไม่ไหว ๆเท่านั้น งานเบาก็กลายเป็นงานหนักไปทันที
ความหนักที่เพิ่มขึ้นนั้นไม่ได้มาจากไหน
แต่มาจากใจที่มีท่าทีเป็นลบต่อสิ่งนั้นนั่นเอง
ไม่ใช่แต่งานการเท่านั้น ประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับชีวิต
จะกลายเป็นเรื่องหนักอกหนักใจขึ้นมาทันที
ที่เราต่อต้านหรือปฏิเสธมันตั้งแต่แรก
ในยามที่ล้มป่วย ลำพังความป่วยกายก็ทำให้ทุกข์อยู่แล้ว
แต่คนส่วนใหญ่มักเพิ่มความทุกข์เข้าไปอีก
ด้วยการมีท่าทีต่อต้านหรือปฏิเสธ ความเจ็บป่วยนั้น
แม้หัวสมองจะยอมรับว่าตัวเองป่วย
แต่ใจก็เอาแต่ตีโพยตีพายว่า
...ทำไมต้องเป็นฉัน?...หรือ ...ทำไมต้องมาเป็นตอนนี้?...
ความเป็นห่วงงานการหรือครอบครัว
ยิ่งทำให้ใจต่อต้านผลักไสความเจ็บป่วยไม่เลิกรา
ในเมื่อความเจ็บป่วยเกิดขึ้นกับเราแล้ว แทนที่จะปฏิเสธต่อต้านมัน
จะไม่ดีกว่าหรือหากเราจะยอมรับ หรือดีกว่านั้น คือ ยิ้มรับมัน
เพราะถึงอย่างไรมันก็จะยังไม่หายไปในวันนี้วันพรุ่ง
ถึงแม้จะรักษาตัวดีเพียงใดก็ตาม
ดังนั้นเราจึงควรเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันอย่างเป็นมิตร
ยิ่งถ้าเป็นมะเร็งด้วยแล้ว นั่นหมายความว่าก้อนมะเร็งจะต้องอยู่กับเราเป็นปี ๆ
(หากไม่อยู่ไปจนตลอดชีวิต) เกลียดโกรธมันมากเท่าไร
เราเองนั่นแหละที่จะเป็นทุกข์ ขณะเดียวกันก็ทำให้มันลุกลามขยายตัวด้วย
การเรียนรู้ที่จะอยู่กับสิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจนั้น
เป็นศิลปะแห่งการอยู่อย่างมีความสุข
ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นงานการที่มาผิดเวล่ำเวลา
งานที่ไม่ถนัด ความล้มเหลว ความเจ็บป่วย
การตกงาน หรือความพลัดพรากสูญเสีย ฯลฯ
การยอมรับหรือยิ้มรับมันไม่ได้แปลว่ายอมจำนน
แต่เป็นการยอมรับความจริง
และเป็นวิธีลดทอนความทุกข์ในยามประสบกับสิ่งเหล่านั้น
ใช่หรือไม่ว่า หากใจต่อต้านปฏิเสธมัน
ความทุกข์ก็จะเพิ่มราวกับคูณ ๒ หรือคูณ ๓
แต่ถ้าใจยอมรับหรือยิ้มรับมัน
ความทุกข์ก็จะลดลงราวกับหาร ๒ หรือหาร ๓
ปัญหาเมื่อเกิดขึ้นก็ต้องแก้ไข ไม่ควรยอมจำนน
แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ป่วยการที่จะตีโพยตีพาย ก่นด่าชะตากรรม
เฝ้าบ่นว่า ...ทำไมต้องเป็นฉัน?...หรือถอดใจยอมแพ้ว่า...ไม่ไหวแล้ว ๆๆ...
เพราะไม่ว่าจะบ่นแค่ไหนก็ไม่ได้ทำให้ร้ายกลายเป็นดีได้
จะไม่ดีกว่าหรือหากเราจะทำใจให้สงบ
แล้วมองไปข้างหน้าว่า จะแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไรดี
ใจที่สงบจะช่วยให้เราเห็นทางออกที่ดีที่สุดจนได้
คัดลอกจาก...คอลัมน์บทความพุทธิกา
IMAGE ฉบับเดือน มีนาคม 2551