ปรารภธรรมะให้ฟัง
ป ร า ร ภ ธ ร ร ม ะ ใ ห้ ฟั ง
พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)
วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์
คราวหนึ่ง หลวงปู่กล่าวปรารภธรรมะให้ฟังว่า
เราเคยตั้งสัจจะจะอ่านพระไตรปิฎกจนจบ ในพรรษาที่ ๒๔๙๕
เพื่อสำรวจดูว่าจุดจบของพระพุทธศาสนาอยู่ตรงไหน
ที่สุดแห่งสัจจธรรม หรือที่สุดของทุกข์นั้น อยู่ตรงไหน
พระพุทธเจ้าทรงกล่าวสรุปไว้ว่าอย่างไร
ครั้นอ่านไป ตริตรองไปกระทั่งถึงจบ
ก็ไม่เห็นตรงไหนที่มีสัมผัสอันลึกซึ้งถึงจิตของเราให้ตัดสินใจได้ว่า
นี่คือที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ ที่สุดแห่งมรรคผล หรือที่เรียกว่านิพพาน ฯ
มีอยู่ตอนหนึ่ง คือ ครั้งนั้นพระสารีบุตรออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ๆ
พระพุทธเจ้าตรัสเชิงสนทนาธรรมว่า
"สารีบุตร สีผิวของเธอผ่องใสยิ่งนัก
วรรณะของเธอหมดจดผุดผ่องยิ่งนัก
อะไรเป็น วิหารธรรม ของเธอ "
พระสารีบุตรกราบทูลว่า
"ความว่างเปล่าเป็นวิหารธรรมของข้าพระองค์" (สุญฺญตา) ฯ
ก็เห็นมีเพียงแค่นี้แหละ ที่มาสัมผัสจิตของเรา.
จบพระไตรปิฎกหมดแล้ว จำพระธรรมได้มากมาย
พูดเก่งอธิบายได้อย่างซาบซึ้ง มีคนเคารพนับถือมาก
ทำการก่อสร้างวัตถุไว้ได้อย่างมากมาย
หรือสามารถอธิบายถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้อย่างละเอียดแค่ไหนก็ตาม
"ถ้ายังประมาทอยู่
ก็นับว่ายังไม่ได้รสชาติของพระศาสนาแต่ประการใดเลย
เพราะสิ่งเหล่านี้ยังเป็นของภายนอกทั้งนั้น
เมื่อพูดถึงประโยชน์
ก็เป็นประโยชน์ภายนอกคือเป็นไปเพื่อสงเคราะห์สังคม
เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่น เพื่อสงเคราะห์อนุชนรุ่นหลัง
หรือเป็นสัญญลักษณ์ของศาสนวัตถุ
ส่วนประโยชน์ของตนที่แท้นั้น คือ ความพ้นทุกข์
"จะพ้นทุกข์ได้ต่อเมื่อรู้ จิตหนึ่ง."
(ที่มา : อตุโล ไม่มีใดเทียม ; ประวัติ ปฏิปทา และคำสอน พระราชวุฒาจารย์
(หลวงปู่ดูลย์ อตุโล) วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์, จัดพิมพ์เป็นที่ระลึกในงานบำเพ็ญกุศล
ครบรอบมรณภาพ ปีที่ ๑๒ (ครบรอบอายุ ๑๐๘ ปีของหลวงปู่) พิมพ์ครั้งที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๙,)