ปฏิจจสมุปบาท
เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องหัวใจของพระพุทธศาสนา เรียกว่า...
เรื่องปฏิจจสมุปบาท ถ้าเรียกให้ถูกก็เรียกว่า...
อิทัปปัจจยตา คือ...สิ่งทั้งหลายมีเหตุมีปัจจัย
ถ้าเรามีความรู้เรื่องนี้ เราไม่ยึดถือโดยเป็นตัวตน
มันก็ไม่ทำอะไร มันทำให้เกิดความสงบเย็น
หากไปยึดถือเป็นตัวตนอะไรเข้า มีเกิด มีตาย มีเวียนวน
แล้วมันก็เป็นทุกข์...
จงศึกษาเรื่องปฏิจจสมุปบาท คือเรื่องชีวิตนี้ให้ถูกต้อง
ว่ามีเหตุมีปัจจัย แล้วเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย
โดยสรุปสั้นๆ พูดให้ลูกเด็กๆเข้าใจ กระทั่งคนแก่ก็ว่า...
เรามีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ...พอตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
รับอารมณ์เป็นรูป เป็นเสียง เป็นรส เป็นโผฏฐัพพะ ธัมารมณ์
มันก็เกิดวิญญาณทางตา วิญญาณทางหู วิญญาณทางจมูก
ทางลิ้น ทางกาย ทางใน นี้เพิ่งเกิดต่อเมื่อมีการกระทบ...
เกิดวิญญาณอย่างนี้แล้วก็เรียกว่ามีผัสสะแล้ว
วิณญานเป็นผู้ผัสสะสิ่งนั้นๆ เช่นทางตานี่
วิญญาณทางตาสัมผัสรูปที่มากระทบตา
โดยอาศัยตาเป็นเครื่องมือ มันมี 3 อย่างคือตาและรูปที่มา
กระทบตาแล้ววิญญาณที่รู้จักรูปนั้น
3 อย่างนี้ทำงานร่วมกันอยู่เรียกว่า...'ผัสสะ'...
พอมีผัสสะแล้วก็ต้องมีเวทนา เป็นสุข เป็นทุกข์
พอใจหรือไม่พอใจ แล้วก็มีตัณหาอยากไปตามเวทนานั้น
ความอยากแรงๆเข้า ก็เกิดความรู้สึกโง่ว่าตูผู้อยาก ผู้ต่อสู้
ผู้ขวนขวาย ผู้กระทำ นี้เป็นอุปทาน...
อุปทานอย่างนี้มีแล้วก็เรียกว่า...ตั้งครรภ์แห่งตัวตู
มีตัวตูอยู่ในครรภ์เรียกว่าภพ ครรภ์แก่เข้าๆ เกิดออกมาเป็นชาติ
เป็นตัวตู สมบูรณ์อย่างนั้นอย่างนี้อย่างโน้น แสดงบทบาท
ไปเอาอะไรเป็นตัวตนของตนหมด แล้วก็ได้รับความทุกข์....
ต้องพูดว่าสมน้ำหน้ามัน ต้องว่าอย่างนั้นดีกว่า โง่จนเป็นตัวตน
แล้วก็ตกอยู่ในอำนาจแห่งสิ่งเข้ามาแวดล้อม ต้องกระโดดโลดเต้น
ต้องสุขต้องทุกข์ ต้องมีอย่างที่ว่ามาแล้วชีวิตมันกัดเจ้าของ
เต็มไปด้วยความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว
ความตื่นเต้น วิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยา หวง หึง....
เหล่านี้มันเป็นทุกข์เพราะมันไม่รู้ปฎิจจสมุปบาท...ฯ
~ท่านพุทธทาสภิกขุ~
ขอนอบน้อมแด่คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์