สุญญตา
พวกเราคงเคยได้ยินคำว่า..'สุญญตา' หรือ..'มหาสุญญตา'
กันบ่อยๆและอาจเคยพบเพื่อนชาวพุทธบางท่านโดยเฉพาะ
ปัญญาชนที่สนใจศึกษาเรื่องสุญญตาด้วยการอ่าน การฟัง
การคิด และการถกแถลงธรรม ท่านเหล่านี้ได้รับความอิ่มอก
อิ่มใจ ว่ามีความรู้ความเข้าใจพระพุทธศาสนาลึกซึ้งเพียงพอ
แล้วจนไม่สนใจการเจริญสติ ซึ่งเราคงเข้าไปเกี่ยวข้องอะไร
ด้วยไม่ได้ แต่ที่น่าเป็นห่วงก็คือเพื่อนผู้สนใจการปฏิบัติบาง
ท่านกลับพยายามเจริญสติด้วยการใช้สุญญตาเป็นอารมณ์
กรรมฐาน ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดพลาดมาก เพราะพระพุทธเจ้าทรง
สอนให้ใช้สุญญตาหรือความว่างเป็นอารมณ์แต่อย่างใด
บางท่านถึงกลับนำพระไตรปิฎกมาอ้างว่า พระพุทธเจ้าก็ทรง
สอนให้ใช้สุญญตาเป็นอารมณ์กรรมฐานเหมือนกัน เนื้อหาของ
พระไตรปิฎกนี้มีอยู่ว่า... โมฆราชมาณพ พร้อมด้วยเพื่อนร่วม
สำนักผู้เป็นศิษย์ของพราหมณ์พาวรีรวม 16 ท่าน ได้ไปเฝ้าทูล
ถามปัญหากับพระพุทธเจ้า ท่านเหล่านี้ภายหลังได้อุปสมบทและ
บรรลุเป็นพระอรหันต์ชั้นแนวหน้าทั้งสิ้น เฉพาะท่่านโมฆราชนั้น
ได้ทูลถามพระพุทธเจ้าถึง 3 ครั้งว่า..."บุคคลผู้พิจารณาเห็นโลก
อย่างไร มัจจุราชจึงจะไม่เห็น...?"
พระอรรถกถาจารย์ท่านอธิบายว่า เหตุที่ท่านโมฆราชต้องถามถึง
3 ครั้ง ก็เพราะพระพุทธเจ้าทรงรอให้โมฆราชมาณพมีอินทรีย์แก่กล้า
เสียก่อน จึงยังมิได้ทรงตอบเมื่อทูลถามปัญหาสองครั้งแรก ต่อจาก
ท่านอชิตะและท่านติสสเมตเตยยะ
เมื่อท่านโมฆราชทูลถามเป็นครั้งที่ 3 โดยได้ถามเป็นบุคคลลำดับที่
15 แทนที่จะได้ถามเป็นท่านที่ 2 หรือ 3 จึงทรงตอบว่า...."ดูกร
โมฆราช ท่านจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ พิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของ
ว่างเปล่าเถิด จงถอนตามความเห็นว่าเป็นตัวตนเสียแล้ว พึงเป็นผู้ข้าม
พ้นมัจจุราชได้ด้วยอาการอย่างนี้ บุคคลผู้พิจารณาเห็นโลกอยู่อย่างนี้
มัจจุราชจึงจะไม่เห็น"
เมื่ออ่านคำตอบตรงนี้แล้ว ท่านที่ชอบเรื่องสุญญตาก็มักจะสรุปเอาเลย
ว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ปฏิบัติด้วยการคิดพิจารณาให้เห็นว่าโลก
เป็นของว่างเปล่าหรือเป็นสุญญตา
ความจริงพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้น แต่ท่านระบุชัดเจนว่า...จง
เป็นผู้มีสติทุกเมื่อ...แสดงว่าท่านสอนให้เจริญสติ ถ้าถามต่อไปว่าท่าน
ให้เจริญสติโดยใช้สิ่งใดเป็นอารมณ์กรรมฐาน ก็ตอบได้ว่าพระพุทธเจ้า
ทรงสอนให้ใช้..'โลก' เป็นอารมณ์กรรมฐาน และคำว่าโลกก็หมายถึง
'รูปนาม'...นั่นเอง พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงสอนให้ใช้สุญญตาหรือความ
ว่างเป็นอารมณ์กรรมฐาน เพียงแต่ทรงแนะนำ
'ให้ตามรู้รูปนามในแง่มุมของความว่างเปล่าจากตัวตนหรืออนัตตา'
เท่านั้นเอง เพราะท่านโมฆราชผู้มีปัญญามาก จึงเหมาะที่จะบรรลุธรรม
ด้วยสุญญตาวิโมกข์ คือ...การเห็นรูปนามเป็นอนัตตา ทั้งนี้ฝนบรรดา
คณะศิษย์ของพรามหม์พาวรีทั้ง 16 ท่านนั้น พระไตรปิฎกกล่าวถึง
ฉายาต่อท้ายชื่อไว้2 ท่าน คือท่านโมฆราชผู้มีปัญญา กับท่านปิงคิยะ
ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ แสดงว่าท่านโมฆราชน่าจะมีจุดเด่นในด้านมี
ปัญญามากจริงๆ เพียงแต่ไม่ถึงระดับท่านพระสารีบุตรผู้เป็นอัครสา-
วกผู้เลิศด้วยปัญญานั้น
มีคำอธิบายเพิ่มเติมในพระไตรปิฎก (โมฆราชมาณวกปัญหานิทเทส
พระไตรปิฎกเล่มที่ 30 ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส). ว่า..."บุคคลผู้
พิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของสูญด้วยเหตุ 2 ประการคือ
(1) ด้วยสามารถความกำหนดว่า..ไม่เป็นไปในอำนาจ...หมายความ
ว่า ใครๆย่อมไม่ได้อำนาจในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ใน
วิญญาณ และ (2) ด้วยสามารถการพิจารณา...เห็นสังขารโดยเป็น
ของว่างเปล่า...หมายความว่า ใครๆย่อมไม่ได้แก่นสารในรูป ใน
เวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ ที่ไม่มีแก่นสาร ไร้แก่นสาร
ปราศจากแก่นสาร เพราะไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา
มีคำที่อาจก่อความสับสนได้อีกคำหนึ่งคำว่า..."พิจารณา" บางท่าน
ตีความหมายว่าการพิจารณาคือการคิด แท้จริงคำว่าพิจารณาหมายถึง
การเจริญสติตามรู้รูปนามนั่นเอง ไม่ใช่การคิดเรื่องรูปนาม เพราะการ
คิดเรื่องรูปนามว่าเป็นความว่างนั้น ไม่สามารถจะทำให้เห็นรูปนามเป็น
ความว่างได้ แต่ถ้าเจริญสติโดยมีรูปนามเป็นอารมณ์ จึงจะเห็นอนัตต-
ลักษณะของรูปนามได้
สรุปแล้ว...พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงสอนให้ใช้ความว่างเป็นอารมณ์
ของวิปัสสนากรรมฐาน และไม่ได้ให้คิดเรืีองความว่าง แต่ทรงสอน
ให้มีสติตามรู้รูปนาม จนเห็นรูปนามว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน
หรือไร้แก่นสารทั้งปวง...
ดังนั้น พวกเราจึงควรลงมือเจริญสติตามรู้รูปนามไปเลย ดีกว่าจะ
เที่ยวคิดหรือเที่ยวแสวงหาสุญญตาจนลืมการเจริญสติ แล้ววันหนึ่ง
พวกเราจะได้เห็นโลกคือรูปนามอันประกอบขึ้นเป็นสรรพสิ่งทั้งหลาย
นั้น แม้มีอยู่ แต่ก็ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตนและหาแก่นสารใดๆ
ไม่ได้เลย...ฯ
~พระปราโมทย์ ปาโมชฺโช~
ขอนอบน้อมแด่คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์