สิ่งทั้งหลายก็ทุกข์ต่อไป...
สิ่งทั้งหลายก็ทุกข์ต่อไปตามเรื่องของธรรมชาติ
แต่ใจเราเป็นอิสระมีสุขที่สมบูรณ์...
สิ่งทั้งหลายที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีความเปลี่ยนแปลงเป็น
ไปต่างๆ มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นเป็นธรรมดา เพราะมันอยู่ในกฏ
ธรรมชาติอย่างนั้น ไม่มีใครไปแก้ไขได้ แต่ที่มันเป็นปัญหาก็เพราะ
ว่าในเวลาที่มันแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปตามกฏธรรมชาตินั้น มัน
พลอยมาเบียดเบียนจิตใจของเราด้วย เพราะอะไร...?
เพราะเรายื่นแหย่ใจของเราเข้าไปใต้อิทธิพลความผันผวนปรวนแปร
ของธรรมชาตินั้นด้วย ดังนั้น เมื่อสิ่งเหล่านั้นปรวนแปรไปอย่างไร
ใจของเราก็พลอยแปรปรวนไปอย่างนั้นด้วย เมื่อมันมีอันเป็นไป ใจ
ของเราก็ถูกบีบคั้นไม่สบาย..
แต่พอเรารู้เท่าทันถึงธรรมดาแล้ว กฎธรรมชาติก็เป็นกฎธรรมชาติ
สิ่งทั้งหลายที่เป็นธรรมชาติ ก็เป็นไปตามกฎธรรมชาติ ทำไมเราจะ
ต้องเอาใจของเราไปให้กฎธรรมชาติบีบคั้นด้วย เราก็วางใจของเรา
ได้ ความทุกข์ที่มีในธรรมชาติ ก็เป็นของธรรมชาติไปใจของเราไม่
ต้องเป็นทุกข์ไปด้วย ตอนนี้แหละที่ท่านเรียกว่ามีจิตใจเป็นอิสระ จน
กระทั่งว่า แม้แต่ทุกข์ที่มีในกฎของธรรมชาติ ก็ไม่สามารถมาเบียด
เบียนบีบคั้นใจเราได้ เป็นอิสรภาพแท้จริง ที่ท่านเรียกว่า...'วิมุตติ'
เมื่อพัฒนามาถึงขั้นนี้ เราก็จะแยกได้ระหว่างการปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลาย
ภายนอก กับการเป็นอยู่ของชีวิตจิตใจภายในของเรา กล่าวคือสำหรับ
สิ่งทั้งหลายภายนอก ก็ยกให้เป็นภาระของปัญญาที่จะศึกษา และกระ-
ทำไปให้ทันกันถึงกันกับกระบวนการแห่งเหตุปัจจัยของธรรมชาติให้ได้
ผลดีที่สุด ส่วนภายในจิตใจก็คงอยู่เป็นอิสระ พร้อมด้วยความสุข
ความสุขจากความเป็นอิสระถึงวิมุตติที่มีปัญญารู้เท่าทันพร้อมอยู่นี้
เป็นความสุขที่สำคัญ พอถึงสุขเช่นนั้นแล้ว เราก็ไม่ต้องไปพึ่งอาศัยสิ่ง
อื่นอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นรูปธรรมหรือนามธรรม มันจะกลายเป็นความ
สุขที่เต็มอยู่ในใจของเราเลย และเป็นสุขที่มีอยู่ประจำอยู่ตลอดทุกเวลา
เป็นปัจจุบัน
ความสุขที่เรานึกถึงหรือใฝ่ฝันกันอยู่นี้ มักเป็นความสุขที่อยู่ในอนาคต
คือเป็นความสุขที่หวังอยู่ข้างหน้าและอิงอาศัยสิ่งอื่น แต่พอมีปัญญารู้
เท่าทันความจริงแล้วจะเกิดความสุขที่อยู่ในตัวเป็นประจำและมีอยู่ตลอด
ทุกเวลา เป็นปัจจุบันทุกขณะ กลายเป็นว่าความสุขเป็นเนื้อเป็นตัว เป็น
ชีวิตจิตใจของเราเอง พอถึงตอนนี้ก็ไม่ต้องหาความสุขอะไรอีก
ถ้ามีอะไรมาเสริมให้ความสุขเพิ่มขึ้น เราก็มีความสุขที่เป็นส่วนแถม
และเราก็มีสิทธิ์เลือกตามสบายว่า จะเอาความสุขนั้นหรือไม่ ไม่มีปัญหา
และเมื่อสุขแถมนั้นไม่มี ก็ไม่เป็นไร เราก็สุขอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้ท่าน
เรียกว่าไม่มีอะไรต้องทำเพื่อตนเองอีก พลังงานชีวิตที่เหลืออยู่ก็ยกให้
เป็นประโยชน์แก่โลกไป นี่แหละเป็นสุขที่สมบูรณ์ และก็เป็นชีวิตที่สม
บูรณ์ด้วย...ฯ
~พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปนุตฺโต) ~
ขอนอบน้อมแด่คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์