ต้นไม้ สายฝน คนบนโลก
คืนผ่านมา ฝนลงเม็ด เหมือนเป็นการต้อนรับอาณาจักรใหม่ "สวนสวรรค์" สวนที่บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความฝัน ความสุข และปัญญา
สวนแห่งต้นกล้า และพืชผักผลไม้นานาพันธุ์ ที่ฝากฝังดินเอาไว้ ฝนตกเพื่อร่วมยินดีในสิ่งที่เราทำ เพียงแค่คิดเท่านี้ ชีวีก็มีสุขได้อย่างชิลชิล อย่างนี้ล่ะนะ ที่เขาเรียกว่า วิธีคิดแบบเอาเทวดามาเป็นพวก
สายฝนกลางพรรษา ทำให้ผืนป่าเขียวชะอุ่ม เมฆน้อยลอยอ้อยอิ่งบนยอดดอย ที่อยู่ใกล้แทบเอื้อมถึง มันอ้อยอิ่งบนยอดไม้ เหมือนมิใช่เมฆ
เราอาจเรียกมันได้ว่า นี่คือ ฝน ที่กำลังบ่มเพาะศักยภาพอีกชั่วขณะหนึ่ง เมื่อถึงเวลาอันควร มันก็จะเปลี่ยนแปรเป็นสายฝนโปรยปรายลงมาให้ผืนป่า และชีวิตในเบื้องล่างอีกคราหนึ่ง
แท้จริงแล้ว เรื่องราวของสายฝน ก็ดุจชีวิตคนไม่ต่างกัน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ จากไป แล้วหวนกลับมาใหม่ เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ไม่มีอะไรจีรัง
เมฆมิใช่เป็นเพียงเมฆ สายฝนก็มิใช่เป็นเพียงหยดน้ำ มันแปรเปลี่ยนตนเองอยู่ทุกขณะจิต สายฝนหยาดลงจากฟ้า แฝงตัวอยู่ในต้นไม้ ใบหญ้า และป่าเขา ชั่วประเดี๋ยวประด๋าวก็จะกลับขึ้นฟ้าไปเป็นฝน
การใช้ชีวิตของฝน ก็คือ กลเม็ดในการปรับตนของมันให้เข้ากับสรรพสิ่ง แต่ชั่วขณะชีวิตหนึ่งของมัน กลับเกื้อกูลต่อมวลชีวิตบนโลกใบนี้ อย่างนับไม่ถ้วน
แล้วชั่วขณะชีวิตของคนคนหนึ่งล่ะ เกื้อกูลอะไรให้โลกบ้าง
มนุษย์บางคนยังคงนึกถึงแต่เรื่องของตัวเองเป็นด้านหลัก มุ่งแต่กอบโกย เบียดเบียนบีฑาทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า เพื่อให้ได้มาเพียงแค่ "ความรู้สึก" ว่า "ของตน" เท่านั้น
แท้จริงแล้ว ไม่มีอะไรเป็นของเขาอย่างแท้จริง แม้แต่อย่างเดียว มีเพียงความเขลาเท่านั้น ที่หล่อเลี้ยงชีวิตของเขาเอาไว้ในโลกนี้
เคยคิดหรือไม่ว่า วันนี้ เราจะทำอะไรไว้ให้โลกบ้าง
ผมว่า บางทีเราก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรมากมายให้มันดูยิ่งใหญ่ หรือใช้เงินเป็นร้อยๆ ล้าน เพียงแค่การได้ปลูกต้นไม้สักต้น ในแต่ละวัน เราก็ช่วยโลกได้มากมายแล้ว
๑ เดือน เราได้ ๓๐ ต้น ๑ ปี เรามีต้นไม้ที่ปลูกด้วยสองมือ ๓๖๕ ต้น ถ้าแต่ละคนช่วยกันปลูกต้นไม้วันละต้น โลกนี้ก็คงจะน่าอยู่ขึ้นมาอีกมิใช่น้อย
เพราะขณะที่เราปลูกผักปลูกไม้ ก็เท่ากับว่า เราได้ปลูกคุณงามความดีลงในใจเพิ่มมากขึ้น
เมื่อความดีในใจของเราหยั่งรากลงลึกแล้ว เราก็จะยืนหยัดอยู่ในโลกนี้ได้อย่างสง่างาม ไม่ต้องถูกแรงลมแห่งความรัก โลภ โกรธ เขลา หรือความมัวเมาริษยา ซึ่งเป็นมรสุมที่โหมกระพือพัดอยู่ในโลกมนุษย์ใบนี้ มารุกรานพัดพาให้หักโค่นลงได้
ผมว่า คนที่จะมีความสุขสงบอยู่ในโลกนี้ได้ คงจะต้องทำตัวให้เหมือนกับไม้ใหญ่ในผืนป่า คือ ต้องหยั่งรากลงให้ลึก ยืดลำต้นและกิ่งใบให้สูงที่สุด เท่าที่จะทำได้ ไม่ต้องคอยให้ใครมารดน้ำ หรือให้แสงเหมือนต้นไม้ในกระถาง ต้นไม้ในกระถาง ไม่เคยพึ่งพาตนเองได้ อย่างมากก็เป็นได้เพียงแค่ไม้ประดับ ที่รอให้ใครสักคนมารดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย แล้วยกไปวางตรงนั้นตรงนี้ วันดีคืนดี เขาก็ทิ้งให้เราเฉาตายเท่านั้นเอง
เราจะเลือกเป็น ต้นไม้ในป่าใหญ่ หรือว่าเป็นเพียง ไม้แคระในกระถาง ลองกระซิบถามหัวใจของเราดูบ้างสักนิด