หลวงปู่(มั่น ภูริทัตตะเถระ)ฝากไว้ 4
แยกไม่ได้ตามจริงสิ่งเดียวกัน
จิตเป็นของอาการเรียกว่าสัญญาพาพัวพัน
ไม่เที่ยงนั้นก็ตัวเองไปเลงใคร
ใจรู้เสื่อมของตัวพ้นมัวมืด
ใจก็จืดสิ้นรสหมดสงสัย
ขาดต้นคว้าหาเรื่องเครื่องนอกใน
ความอาลัยทั้งปวงก็ร่วงโรย
ทั้งโกรธนักเครื่องหนักใจก็ไปจาก
เรื่องจิตอยากจะหยุดให้หายหิวโหย
พ้นหนักใจทั้งหลายหายอิดโรย
เหมือนฝยโปรยใจเย็นด้วยเห็นใจ
ใจเย็นเพราะไม่ต้องเที่ยวมองคน
รู้จิตค้นปัจจุบันพ้นหวั่นไหว
ดีหรือชั่วทั้งปวงไม่ห่วงใย
เพราะดับไปทั้งเรื่องเครื่องรุงรัง
อยู่เงียบๆต้นจิตไม่คิดอ่าน
ตามแต่การของจิตสิ้นคิดหวัง
ไม่ต้องวุ่นไม่ต้องวายหายระวัง
นอนหรือนั่งนึกพ้นอยู่ต้นจิต
ท่านชี้มรรคทั้งหลักแหลม
ช่างต่อแต้มกว้างขวางสว่างไสว
ยังอีกอย่างทางใจไม่หลุดสมุทัย
ขอจงโปรดชี้ให้พิศดารเป็นการดี
ตอบว่าสมุทัยคืออาลัยรักเพลินยิ่งนัก
ทำภพใหม่ไม่หน่ายหนี
ว่าอย่างต่ำกามคุณห้าเป็นราคี
อย่างสูงชี้สมุทัยอาลัยฌาน
ถ้าจะจับตามวิธีมีในจิต
ก็เรื่องคิดเพลินไปในสังขาร
เคยทั้งปวงเพลินมาเสียช้านาน
กลับเป็นการดีไปให้เจริญจิต
ไปในส่วนที่ผิดก็เลยแตกกิ่งก้านฟุ้งซ่านใหญ่
เที่ยวเพลินไปในผิดไม่คิดเขิน
สิ่งใดชอบอารมณ์ก็ชมเพลิน
เพลินจนเกินลืมตัวไม่กลัวภัย
เพลินดูโทษคนอื่นตื่นด้วยชั่ว
โทษของตัวไม่เห็นเป็นไฉน
โทษคนอื่นเขามากสักเท่าไร
ไม่ทำให้เราตกนรกเสียเลย
โทษของเราเศร้าหมองไม่ต้องมาก
ลงวิบากไปตกนรกแสนสาหัส
หมั่นดูโทษตนไว้ให้ใจเคย
เว้นเสียซึ่งโทษนั้นคงได้เชยชมสุขพ้นทุกข์ภัย
เมื่อเห็นโทษตนชัดพึงตัดทิ้ง
ทำอ้อยอิ่งคิดมากจากไม่ได้
เรื่องอยากดีไม่หยุดคือตัวสมุทัย
เป็นโทษใหญ่กลัวจะไม่ดีนี้ก็แรง
ดีไม่ดีนี้เป็นผิดของจิตนัก
เหมือนไข้หนักถูกต้องของแสลง
กำเริบโรคด้วยพิษผิดสำแดง
ธรรมไม่แจ้งเพราะอยากดีนี้เป็นเดิม
ความอยากดีมีมากมักลากจิต
ให้เที่ยวคิดวุ่นไปจนใจเหิม
สรรพชั่วมัวหมองก็ต้องเติม
ผิดยิ่งเพิ่มร่ำไปไกลจากธรรม
ที่จริงชี้สมุทัยนี่ใจฉันคร้าม
ฟังเนื้อความไปข้างฟุ้งทางยุ่งยิ่ง
เมื่อชี้มรรคฟังใจไม่ไหวติง
ระงับนิ่งใจสงบจบกันที
อันนี้ชื่อว่าขันธะวิมุติสมังคีธรรม
ประจำอยู่กับที่ไม่มีอาการไปไม่มีอาการมา
สภาวะธรรมที่เป็นจริงสิ่งเดียวเท่านั้น
และไม่มีเรื่องจะแวะเวียน
สิ้นเนื้อความแต่เพียงเท่านี้
ผิดหรือถูกจงใช้ปัญญาตรองดูให้รู้เถิด...ฯ
~ขอนอบน้อมแด่คุณพระไตรสรณะทั้งสาม~