ใช้มหาสติมหาปัญญาสลายวิบากกรรม
"กรรม"....หรือการกระทำของบุคคลในชาตินี้จะเป็นเมล็ดพันธ์ุที่
เก็บไว้ในจิตวิญญาณ มันคือรหัสข้อมูลที่ซ่อนเร้นอยู่ในวิญญาณที่
แปดคือ "อาลยวิญญาณ" โดยที่มันจะรอคอยเหตุปัจจุบันอันประ-
จวบเหมาะ เมื่อถึงเวลามันก็จะสำแดงอานุภาพออกมา ทั้งที่เป็น
ความคิดชั่วแว้บหรือการกระทำโดยฉับพลันทันใด กรรมบางอย่าง
อาจรอจนถึงชาติหน้า จึงปรากฏ แต่ลางอย่างก็ปรากฏในชาตินี้
ดังเช่น...คนบางคนเคยประสบกับเหตุการณ์ หรือฝังใจต่อเรื่อง
ราวในอดีตเมื่อครั้งเป็นเด็ก แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายปีก็ไม่ได้คิด
ถึงอีกเลย จนกระทั่งไปประสบเรื่องราวหรือบุคคลซึ่งเข้าไปปลุก
ความรู้สึกส่วนลึกในอาลยวิญญาณ ทำให้เรื่องราวในอดีตที่ลืมไป
นานแล้วผุดขึ้นมาอีกอย่างแจ่มชัด
หรืออย่างกรณีในอดีตชาติบุคคลใดบุคคลหนึ่งเคยสร้างกรรมทำ
เข็ญไว้มากมาย เมล็ดพันธ์แห่งความชั่วเหล่านั้นจะเป็นรหัสกรรม
ที่ฝังไว้ในจิตวิญญาณอย่างที่ไม่สูญไปไหน ตราบจนกระทั่งในอีก
หลายชาติต่อมา ปกติเขาเป็นคนสุภาพเรียบร้อยสุขุมใจเย็น แต่
เมื่อประสบเรื่องราวเหตุการณ์หรือต้องเผชิญหน้ากับคู่กรรมในอดีต
ชาติ ใช้วาจาหรือการกระทำยั่วยุ รหัสกรรมชั่วที่ถูกเก็บซ่อนไว้ใน
วิญญาณก็จะตอบสนองสำแดงอำนาจทำให้บุคคลที่เคยสุภาพ
เรียบร้อย สุขุม เยือกเย็น แปรเปลี่ยนเป็นคนเดือดดาลใจร้อนวู่วาม
สามารถลงมือทำร้ายเข่นฆ่าได้ในบัดดล
เเละแน่นอนในทางตรงกันข้าม หากบุคคลใดบุคคลหนึ่งในอดีตเคย
สร้างสมกรรมดีไว้มาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายชาติด้วยวิบากกรรม
บางอย่าง ทำให้ปัจจุบันต้องเกิดมาในท่ามกลางผู้คนและสิ่งแวดล้อม
ที่เลวทรามต่ำช้า รหัสกรรมดีที่เคยสร้างสมไว้ก็จะสำแดงอานุภาพโดย
ส่งผลให้ไม่ถูกความชั่วครอบงำหรือหลงเดินทางผิด และแม้กระทั่งหาก
กระแสแห่งความชั่วรุนแรงและหนาแน่น ทำให้ต้องแปรเปลี่ยนเป็นคน
เลวในชาตินี้ แต่เมื่อเหตุปัจจัยแห่งความดีเวียนมาบรรจบ รหัสกรรม
แห่งความดีที่ถูกบันทึกไว้ในอดีตก็จะสำแดงผล ทำให้บุคคลผู้นั้นเกิด
สติ สามารถกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีได้ในที่สุด
เชื้อแห่งกรรมดีกรรมชั่ว ที่ซ่อนเร้นในจิตวิญญาณของมนุษย์ดุจดัง
กระแสธารน้ำตก ที่ไหลตกลงมาอย่างไม่รู้จักหมดจักสิ้น เดี๋ยวโผล่
เดี๋ยวหลบ เดี๋ยวปรากฏให้เห็น เดี๋ยวเก็บตัวซ่อนเร้นอยู่ภายใน เกิด
ดับเกิดดับมิรู้จักจบจักสิ้น
ธรรมชาติของจิตเกิดๆดับๆ รับรู้อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นหากเราคอย
สดับรับฟังกระแสเสียงแห่งธรรมอยู่เสมอๆ ก็จะทำให้จิตซึมซับรับรู้
อยู่กับธรรมะสูงขึ้นไปโดยลำดับ
หากเป็นเช่นนี้อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดทั้งหลาย ก็จะไม่ถูกกระแสแห่ง
โลกโลกีย์ครอบงำ นานวันเข้าเมล็ดพันธ์ุแห่งอกุศลกรรมก็จะค่อยๆ
ถูกขจัดออกไปจนหมด
สำหรับพระอริยเจ้าทั้งหลายนั้น เมล็ดพันธ์ุคือจิต'หนึ่ง' ซึ่งหมดสิ้นอาสวะ
กิเลสทั้งหลายทั้งปวงแล้ว ก็จะค่อยๆเติบโตแข็งแรงขึ้น กลายเป็นจิต
แห่งการรู้แจ้งในธรรม ทวีความสว่างไสวเจิดจ้าขึ้นอย่างมิอาจจะประ-
มาณ และท้ายที่สุดก็จะสามารถหวนคืนกลับสู่ต้นธารต้นธรรมเดิมได้
ในส่วนของพระโพธิสัตว์ ที่แม้จะยังไม่สามารถตัดขาดสภาวะจิตปริวิตก
อันละเอียดอ่อนได้ แต่ท่านเหล่านั้นก็สามารถใช้มหาสติ มหาปัญญามา
สยบความปริวิตกทั้งหลายลงได้
เช่นนี้...มนุษย์โลกก็เช่นกัน ควรที่จะใช้สติปัญญามาผันแปร สลายวิบาก
กรรมของตนให้หมดสิ้นไป เพื่อกลับคืนสู่สามัญในต้นจิต จิตเดิม...เพื่อความ
ขจัดซึ่งอาสวะกิเลสน้อยใหญ่ ทั้งหลายทั้งปวง หมั่นเจริญสติเนืองๆบ่อยๆจน
เป็นรหัสกรรม(ดี) ที่สั่งสมอยู่ภายในจิต ฉันใดก็ฉันนั้นนะคะ...ฯ
~ขอนอบน้อมแด่คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์~
ขอความสุขความเจริญในกุศลธรรมจงมีแด่ญาติธรรมทุกๆท่านเทอญ...ฯ