ความแตกต่างระหว่าง “ผลของทาน” และ “อานิสงส์ของทาน”
อาจารย์ทวีศักดิ์ คุรุจิตธรรม
ข้าพเจ้าอยากจะสะกิดใจเพิ่มเติม
เพื่อชี้ให้ทุกท่านผู้ใฝ่ธรรมและผู้มีจิตศรัทธา
ได้ทราบถึงความแตกต่างระหว่าง “ผลของทาน”
และ “อานิสงส์ของทาน”
ซึ่งมีกล่าวไว้ใน ทานสูตร อังคุตรนิกาย สัตตกนิบาต
โดยพอสรุปใจความได้ดังนี้
ให้ทานเพราะ
๑. อยากได้รับผลแห่งทานที่ได้ให้ไป
เช่น ไปเกิดในที่ดีดีๆ ได้รับผลตอบแทนในทางใดทางหนึ่ง
จากทานที่ได้ให้ไป เป็นต้น
• ผลของทาน - มาก
• อานิสงส์ - ไม่มาก
๒. เห็นว่าให้ทานแล้วจะเป็นการสั่งสมบุญกุศลประจำตัวเรา
• ผลของทาน - มาก
• อานิสงส์ - ไม่มาก
๓. เห็นว่าพ่อแม่ปู่ยาตายายเคยทำกันมา ก็เลยทำตาม
• ผลของทาน - มาก
• อานิสงส์ - ไม่มาก
๔. เห็นว่าต้องการส่งเสริมและช่วยเหลือสมณพราหมณ์
ผู้ยังชีพจากทานที่มีบุคคลอื่นยื่นให้
• ผลของทาน - มาก
• อานิสงส์ - ไม่มาก
๕. ต้องการเดินตามแบบอย่างของผู้มีน้ำใจในการให้ทาน
• ผลของทาน - มาก
• อานิสงส์ - ไม่มาก
๖. เพราะหวังอยากให้ใจมีความสุข เกิด ปิติ
ความทุกข์จะได้ไม่ย่างกรายเข้ามา
• ผลของทาน - มาก
• อานิสงส์ - ไม่มาก
๗. เพราะเห็นว่าให้ทานจะเป็นเครื่องขัดเกลาจิตใจ
ให้หมดจดจากกิเลสเพื่อก้าวสู่ความเป็นพระอริยะบุคคล
• ผลของทาน - มาก
• อานิสงส์ - มาก
ท่านจะเห็นได้ว่าการให้ทาน การสร้างบุญ สร้างกุศลใดก็ตาม
แม้ผลของทานและบุญกุศลจะมีมาก
เช่น การได้เกิดในสวรรค์ชั้นต่างๆ
การได้เกิดเป็นเศรษฐีในโลกมนุษย์ ฯลฯ
แต่ก็ไม่อาจขัดกิเลส ๓ กองใหญ่ คือ โลภ โกรธ หลง
ให้สูญสิ้นไปจากจิตใจได้ จริงๆ
แม้คุณภาพของจิตหรือใจเราจะเหนือกว่าสามัญชนอื่นๆ
แต่ไม่อาจตัดวัฏฏะ
(การเวียนว่ายตายเกิดนั้นลงๆ จนถึงจุดสูงสุด
คือการไม่กลับมาเกิดอีกได้)
เพราะพุทธองค์ตรัสว่า
การเกิดเป็นการนำมาซึ่งความทุกข์ทั้งปวงอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้
เพราะเมื่อมีเกิด ก็ต้องตามมาด้วยความแก่
ความเจ็บ (โรคภัยไข้เจ็บ) ความตาย
ความโศกเศร้า ความร่ำไห้รำพัน ความโทมนัส
ความคับแค้นใจ ความประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก
ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก
ความปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่สิ่งนั้น ฯลฯ
ล้วนนำมาซึ่งความทุกข์ทั้งสิ้น
ฉะนั้น ถ้าอยากจะดับทุกข์โดยสิ้นเชิง
ก็จะต้องไม่มาเกิดอีก
ซึ่งจะทำได้ก็ต้องตัดกิเลส ๓ กองใหญ่
อันได้แก่ โลภ (รวมราคะด้วย) โกรธ หลง
ให้หมดสิ้นไปให้เหลือเชื้อหลงเหลือ
ดังนั้นผู้ที่ยังหวังผลจากทานที่ได้ให้ไปหรือจากบุญกุศลที่ได้ทำ
ย่อมถือว่า ยังมีความอยากอยู่
แม้ผลของทานหรือบุญกุศลจะมีมาก
เพราะคำว่า “อานิสงส์” มุ่งเน้นให้จิตหมดจด
จากกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งปวง
ไม่ให้หลงเหลือ เพื่อหลีกหนีการเกิดนั่นเอง
ข้าพเจ้าจึงขอฝากข้อคิดนี้ให้กับผู้อ่านทุกๆ ท่าน
เพื่อที่ทุกๆท่านจะได้ยกระดับจิตเหนือกว่า
ผู้ให้หรือผู้บำเพ็ญธรรมทั่วไป
อันเป็นเป้าหมายโดยตรงในการปฏิบัติธรรม
เพื่อให้หลุดพ้นจากวัฏฏะอย่างแท้จริง........
การสร้างบารมีนั้นจะต้องไม่หวังผลตอบแทนใดใดทั้งสิ้น
จึงจะถือว่าเป็นการบารมีที่แท้จริง
ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม
คัดลอกบางตอนมามา : มาทำความเข้าใจ “ผลของทาน” และ “อานิสงส์ของทาน” ต่างกันอย่างไร
โดย อ.ทวีศักดิ์ คุรุจิตธรรม ในข่าวสารกัลยาณธรรม ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๐, หน้า ๒-๓