พรที่ไม่อยากได้
“ไม่ไหวแล้วลูกหลานเอ๊ย ยายเผลอรับพรให้อายุยืนจนเพลินอายุยืนมานาน จนเมื่อได้ ๙๐ ปีนั่นแหละถึงได้รู้ว่าพลาดเสียแล้ว ไม่ไหวแล้วลูก พอแล้ว เลยกว่านี้มีแต่ทุกข์ ลูกเอ๊ย”
อายุยืนเป็นยอดปรารถนาอย่างหนึ่งของผู้คนทั้งหลาย ถ้าอายุยืนถึง ๑๐๐ ยิ่งดี แต่เรามักไม่คิดต่อว่าอายุยืนขนาดนั้นแล้ว จะยังมีความสุขอยู่หรือ ในเมื่อเรี่ยวแรงก็หดหาย ร่างกายก็ย่ำแย่ ต่อเมื่ออายุยืนอย่างคุณยายผ่องพรรณ ถึงจะรู้ว่ามันไม่ใช่ความสุขเลย และไม่ควรเป็นยอดปรารถนาของคนเราด้วย
ที่จริงไม่ต้องรอให้อายุถึง ๘๐ หรือ ๙๐ จึงค่อยรู้ว่าอายุยืนนั้นเป็นทุกข์ สังเกตจากคนแก่รอบตัวเราก็ได้ ยิ่งหง่อมเท่าไร ก็ยิ่งเห็นชัด ลองเปรียบตัวเองเป็นอย่างนั้นแล้วอาจจะได้คิดว่าอายุยืนมิใช่พรที่พึงปรารถนาเท่าไร
ในสมัยพุทธกาลเคยมีการให้พรคล้าย ๆ กันนี้ เป็นแต่ว่าผู้ให้พรมิใช่เด็ก ๆ แต่เป็นคนแก่ ส่วนคนรับพรก็มิใช่คนแก่หากเป็นเด็กอายุแค่ ๗ ขวบ เด็กคนนี้ชื่อเรวตะ เนื่องจากพี่ทั้ง ๖ คนออกบวชหมด (หนึ่งในนั้นคือพระสารีบุตร) พ่อแม่กลัวว่าเรวตะจะตามพี่ชายพี่สาวไป จึงจับแต่งงานทั้ง ๆ ที่ยังเด็กมาก วันแต่งงานนั้นมีญาติผู้ใหญ่อายุ ๑๒๐ ปีมาให้พร ว่าขอให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวปรองดองครองรักกันยาวนาน และมีอายุยืนเหมือนตน
เรวตะได้ฟังคำอวยพร แทนที่จะดีใจ กลับรู้สึกตรงกันข้าม เพราะพอเห็นคุณยายร่างแก่หง่อม หลังโกง ผิวเหี่ยวย่น เดินงก ๆ เงิ่น ๆ อยู่ต่อหน้าแล้ว ก็คิดต่อไปว่าหากเจ้าสาวของตนมีอายุยืนอย่างที่ได้พร ก็จะมีสภาพร่างกายเหมือนคุณยายคนนี้ หาความงามเจริญตาเจริญใจไม่ได้เลย จึงเกิดความเบื่อหน่ายขึ้นมาทันที ไม่เห็นว่าชีวิตครองเรือนน่าปรารถนาแต่อย่างใด
เรวตะจึงครุ่นคิดคิดถึงการหลีหนีจากชีวิตฆราวาส และในที่สุดก็ทำสำเร็จ คือหนีจากขบวนแห่ก่อนจะถึงเรือนหอแล้วไปบวชเณรในสำนักที่อยู่กลางป่า ได้เรียนกรรมฐานจากพระอุปัชฌาย์จนบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในที่สุด พระพุทธองค์ทรงยกย่องว่าพระเรวตะเถระเป็นเอตทัคคะคือเป็นเลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทาง “ผู้อยู่ป่า”