แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร
คำๆ นี้หากมองในมุมของคนทั่วไปแล้วอาจจะมองว่า "ไม่ถูกเท่าไร จริงๆ แล้วน่าสอนให้ชนะบ้างนะ หรือเห็นว่าพุทธศาสนาสอนให้แพ้อยู่ร่ำไป จนอยากจะเป็นมารกันก็มี" สำหรับพระพุทธศาสนาแล้วคำๆ นี้ลึกซึ้งหลายระดับทีเดียว ขอยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายๆ ในระดับเบื้องต้นก่อนดังนี้
เรื่องการทะเลาะกัน เวลาที่คน 2 คนทะเลาะกัน สมมุติเริ่มจากการเถียงกัน ไม่รู้แหละว่าใครเริ่มก่อน เมื่อฝ่ายหนึ่งโดนด่า อีกฝ่ายหนึ่งก็จะด่าตอบ โดยทั่วไปจะด่าแรงกว่าเดิม เมื่อฝ่ายแรกโดนด่ากลับก็จะหาคำด่าที่แรงกว่าเดิมอีก มาด่า เพื่อให้อีกฝ่ายแพ้ไป ด่ากันไปด่ากันมาอย่างนี้ หากไม่มีใครยอมแพ้กันย่อมจะไม่จบ ย่อมพัฒนาเป็นการทำร้ายร่างกายกันได้ โดยฝ่ายหนึ่งเข้าไปตบตีชกต่อย อีกฝ่ายหนึ่งก็ตบตีชกต่อยกลับให้แรงกว่าเดิม สมมุติว่ามีฝ่ายหนึ่งสู้ไม่ได้ แต่ไม่ยอมแพ้อีก ก็ไปหาอาวุธมาช่วย เพื่อเอาชนะกัน เพื่อเอาคืน จนกระทั่งในที่สุดมีการบาดเจ็บ พิการ หรือถึงขั้นฆ่ากันตายในที่สุด
ตัวอย่างที่ผมยกไปตรงนี้ ชัดเจนเป็นอย่างมาก เพราะคนทั่วไปมักจะเป็นอย่างนี้ เมื่อทะเลาะกันก็จะคิดว่าตนเองถูก อีกฝ่ายหนึ่งผิด และจะไม่ยอมแพ้กัน จะพยายามอยู่นั่นเพื่อให้ชนะกันให้ได้ ถึงแม้ให้เลิกกันไป ใจก็ยังผูกพยาบาทอยู่ จนในที่สุดบานปลายจนแก้ไขยาก หรือเจ็บช้ำ สูญเสียกันทั้งสองฝ่าย ซึ่งจริงๆ ชัยชนะที่ฝ่ายใดจะได้มาก็ตาม หาได้ใช่ชัยชนะที่แท้จริงไม่ ชาวโลกมักเรียกสิ่งนี้ว่า "ชัยชนะ", "ข้าชนะ" แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่แล้ว กลับเป็นการพ่ายแพ้ยับเยินต่างหาก แพ้อะไร? ก็คือแพ้กิเลสในใจ มารในใจของตนเองไปอย่างไม่รู้ตัวเข้าแล้ว คำด่าที่เขาด่าเรา ตบตีชกต่อยเรา อาวุธที่เขาทำร้ายเราล้วนเป็นบ่วงแห่งมารทั้งสิ้น นี่แหละที่เรียกว่า "ชนะเป็นมาร"
ดังนั้น หากฝ่ายหนึ่งมาด่าเรา เราพยายามไม่โกรธ เรายอมแพ้ล่ะ จะด่าก็ด่าไป หรือเขามาตบตีชกต่อยเรา เราพยายามไม่โกรธ เรายอมแพ้ล่ะ จะตบตีชกต่อยก็ทำไป
หรือเขามาทำร้ายเราก็ทำร้ายไป หรือถึงขนาดเขามาฆ่าเรา เราจะพยายามไม่โกรธ เรายอมแพ้ล่ะ เราจะไม่อาฆาตพยายาทคนที่เขาฆ่าเราอย่างนี้ ถึงแม้ในโลกเขาจะว่าเราแพ้ เราโง่ เราไม่ทันคนอื่น ให้เขาด่า ให้เขาทำร้าย ให้เขาเอาเปรียบอยู่ได้ จริงๆ แล้ว หารู้ไม่ว่าเรานี้แหละได้ชนะแล้ว คือ ชนะใจตนเอง ชนะมารในใจของตนเองแล้ว ตรงนี้ต่างหากเป็นชัยชนะที่แท้จริง เรียกว่า "แพ้เป็นพระ" นั่นเอง
"ชนะศึกใดมากี่หมึ่นกี่พันครั้ง ไม่เท่าชนะใจตนเอง"
สุดท้ายมามองให้ลึกลงไปอีกระดับ จะเห็นว่าจริงๆ พุทธศาสนาไม่ได้สอนให้มุ่งเอาชนะกัน หรือมุ่งให้มีผู้ชนะ หรือมีผู้แพ้กันเลย พุทธศาสนามุ่งสอนให้เราไม่ต้องมาแพ้ มาชนะกันเลย ไม่ต้องมาทะเลาะ แตกแยก แต่มุ่งส่งเสริมให้เราอยู่ร่วมกันอย่างสันติ มีเมตตากรุณา เอื้อเฟื้อเฟื่อแผ่กัน แลกเปลี่ยนสิ่งดีๆ ต่อกัน คล้ายๆ กับที่ทุกวันนี้เขาใช้คำว่า "ถอยกันคนละก้าว", "เห็นแตกต่าง แต่ไม่ใช่แตกแยก"
หากทุกฝ่ายมุ่งจะชนะ ประเทศชาติและโลกจะมีแต่แพ้
หากทุกฝ่ายมุ่งจะแพ้ ประเทศชาติและโลกจะมีแต่ชนะ