คนพูดไม่จริงย่อมเข้าถึงนรก
คนพูดไม่จริงย่อมเข้าถึงนรก
ที่จริงโทษที่ได้รับในนรกน่าจะเป็นโทษที่เกิดจากการทำบาปที่หนักหนารุนแรง ไม่ควรเป็นโทษที่เกิดจากเพียงการพูดไม่จริง
น่าจะมีหลายคนคิดเช่นนี้ แต่ถ้าคิดให้ดี คิดให้ลึก คิดให้รอบ ก็จะได้ความเข้าใจที่ชัดเจน ว่าการพูดไม่จริงมีโทษหนักหนาเพียงไรก็ได้ ถึงตกนรกก็ได้ พระพุทธศาสนสุภาษิตที่กล่าวว่า “คนพูดไม่จริงย่อมเข้าถึงนรก” เป็นไปได้แน่นอน อยู่ที่ว่าความไม่จริงที่เกิดจากผู้พูดจะหนักหนาอันควรแก่การเกิดผลเป็นโทษ ถึงนรกหรือไม่ ผลย่อมเป็นไปตามเหตุทุกกรณี ไม่มีที่เหตุดีจะให้ผลไม่ดี และไม่มีเหตุไม่ดีที่จะให้ผลดี การพูดก็เช่นกัน
การพูดเป็นเหตุดีก็ให้ผลดี
ผู้พูดจริงย่อมเข้าถึงสวรรค์ได้
ผู้พูดไม่จริงย่อมเข้าถึงนรกได้
ตามพระพุทธศาสนสุภาษิตที่อัญเชิญมานั่นเอง
ท่านผู้พูดธัมมะอย่างถูกต้อง ก็น่าจะเป็นที่เข้าใจกัน เชื่อมั่นกันว่า ท่านย่อมเป็นผู้เข้าถึงสวรรค์ และพาผู้ได้ยินได้ฟังด้วยความสนใจ ให้เข้าถึงสวรรค์ได้ หรือแม้เข้าถึงเมืองพระนิพพานก็ย่อมได้ สำคัญ ที่ธัมมะที่ท่านนำมาพูดให้ได้ยินได้ฟังกันเป็นความถูกต้องตามที่สมเด็จพระ บรมศาสดาทรงแสดงไว้เป็นพระพุทธศาสนาเพียงใดหรือไม่ และผู้ได้ยินได้ฟังปฏิบัติตามเพียงใดหรือไม่
ทั้งผู้พูด และผู้ฟัง ธัมมะมีความตรงกันอย่างหนึ่ง คือธัมมะที่ได้พูดหรือได้ฟังนั้น ผู้พูดก็ตาม ผู้ฟังก็ตาม ต้องเข้าใจถูกต้อง และต้องปฏิบัติให้ถูกให้จริง จึงจะเกิดผล คือเข้าถึงสวรรค์ก็ได้ เข้าถึงเมืองพระนิพพานก็ได้
การพูดสำคัญจริงๆ เมื่อนึกถึงที่กล่าวมา ถ้าเป็นการพูดจริงเป็นธัมมะจริง แม้ผู้พูดจะยังไม่ถึงกับปฏิบัติได้จริงตามคำที่นำไปพูด แต่ถ้าพูดได้ตรงตามความจริง จะเป็นเพียงท่องจำมา ก็ย่อมยังประโยชน์ให้เกิดได้ ไม่มากก็น้อย
ผู้พูดจึงเป็นผู้มีบุญมีกุศลในระดับความตั้งใจที่เป็นบุญเป็นกุศล ที่มุ่งเผยแผ่พระพุทธธรรม มุ่งให้ผู้ได้ยินได้ฟังได้มีความรู้ ความเข้าใจในพระพุทธธรรม ที่นำออกพูดให้ใครๆ ทั้งหลายได้ยินได้ฟังได้รับรู้ด้วย
การพูดธัมมะสอนธัมมะในพระพุทธศาสนามีคุณได้ ก็มีโทษได้ เช่น เดียวกับการพูดเรื่องทั้งหลาย ที่มีได้ทั้งคุณ มีได้ทั้งโทษ คำพูดหรือวาจาของเราผู้เป็นมนุษย์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ควรที่จะให้ความสำคัญแก่วาจาของตนและวาจาของผู้อื่นทั้งหลายด้วย
คืออย่าสักแต่ว่าฟังแล้วก็เชื่อ หรือฟังแล้วก็ไม่เชื่อ หรือสักแต่ว่าอยากพูดอะไรแล้วก็พูดออกไป จะเกิดผลดีผลร้ายแก่ผู้ใดอย่างไรไม่คำนึงถึง พูดจริงก็เหมือนพูดไม่จริง คือที่อาจเข้าถึงนรกได้ การพูดมีโทษหนักหนาเพียงไรก็ได้ มีคุณหนักหนาเพียงไรก็ได้ เหตุก็เพราะการพูด สามารถเป็นมือนำคุณหรือโทษไปสู่ผู้ใดผู้หนึ่งได้ไปสู่หมู่คณะใหญ่โตเพียงไร ก็ได้
พระพุทธภาษิตสำคัญยิ่งองค์หนึ่ง มีว่า “ริษยาพาโลกให้ฉิบหาย”
ริษยาจะไม่สามารถพาโลกให้ฉิบหาย ได้เลย แม้ไม่มีมือคือคำพูด คือวาจาเข้าไปช่วย ความริษยาที่ไม่มีมือคือวาจา คือการแสดงออก ย่อมไม่อาจทำลายโลกได้ ไม่อาจทำโลกให้ฉิบหายได้ อย่างมากอาจทำตนให้เร่าร้อนในจิตใจ ไร้ความสงบสุขได้เท่านั้น นับว่ายังดี โทษของความริษยายังไม่รุนแรงเต็มที่ คือยังไม่อาจทำโลกให้ฉิบหายได้นั่นเอง
แต่ยากนักที่จะไม่ให้ความริษยาทีเกิดแล้วไม่มีมือส่งออกไปทำความฉิบหายให้แก่โลก ยากนักจริงๆ จะ มีหรือไม่ก็ยังไม่แน่ใจว่าความริษยาเกิดในใจผู้ใดแล้วจะมีขอบเขตอยู่ภายใน จิตใจผู้นั้นเท่านั้น จะไม่มีมือนำความริษยาที่เกิดแล้ว ให้ออกพ้นจากใจ ไปทำความฉิบหายให้เกิดขึ้น มากน้อยหนักเบาตามกำลังของความริษยาในใจ
: แสงส่องใจ วันคล้ายวันประสูติ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๐
: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ขอบคุณเว็บพลังจิต