คนโง่ ทำงาน เอาธุรกิจเป็นสรณะ เมื่อธุรกิจรุ่งเรืองก็รุ่งเรืองกับธุรกิจ เมื่อธุรกิจร่วงก็ร่วงหล่นกับธุรกิจ เมื่อธุรกิจสลายก็ตายไปกับธุรกิจ
คนฉลาด เอาธุรกิจเป็นพาหะ เมื่อธุรกิจดีก็ขึ้นขับขี่ขับไป เมื่อธุรกิจเสียหายก็ซ่อมแซม เมื่อธุรกิจพังทลายก็เปลี่ยนธุกิจใหม่ ขับขี่ ซ่อมแซม และเปลี่ยนธุรกิจเรื่อยไป
คนเจ้าปัญญา เอาธุรกิจเป็นธารณะ จัดระบบเกื้อกูลมหาชน เมื่อเกื้อกูลแล้วก็เก็บเกี่ยวเพื่อการพัฒนาที่ยิ่งใหญ่ เมื่อโลกเปลี่ยนความต้องการก็เปลี่ยนการเกื้อกูล เมื่อโลกหยุดต้องการก็หยุดเกื้อกูล แต่เนื่องจากโลกไม่เคยสิ้นสุดในความต้องการเขาจึงมีงานธุรกิจเสมอตราบที่เขา ประสงค์เกื้อกูล
ว่าด้วยการบริหารธุรกิจ
คนโง่ ทำงาน ทำธุรกิจด้วยความอยากได้ ผู้คนจึงหวาดระแวงและถอยหนี
คนฉลาด ทำธุรกิจด้วยความอยากแลกเปลี่ยนผู้คนจึงพิจารณาและคบหาตราบที่ยังได้ ประโยชน์
คนเจ้าปัญญา ทำธุรกิจด้วยความอยากให้ ผู้คนจึงต้อนรับด้วยความยินดีแม้จะต้องให้อะไรตอบบ้างก็ตาม
ว่าด้วยการบริหารระเบียบ
คนโง่ ทำงานเพื่อความถูกต้องตามอักขระ จึงเป็นได้แค่เสมียน
คนฉลาด ทำงานเพื่อความถูกต้องตามเจตนารมณ์จึงได้เป็นผู้บริหาร
คนเจ้าปัญญา ทำงานเพื่อความถูกต้องต่อผลสูงสุด จึงได้เป็นเจ้าของ
ว่า ด้วยการทำงาน
คนโง่ ทำงานเพื่อเงิน จึงได้เงินมาอย่างยากเย็น และมักไม่ได้คุณค่าอื่น ๆ ของงาน
คนฉลาด ทำงานเพื่องาน จึงได้ผลงานที่ยิ่งใหญ่ และได้เงินตามมาโดยง่าย
คนเจ้าปัญญา ทำงานเพื่อหยิบยื่นคุณค่าแก่สังคม เขาจึงได้ผลงานที่น่าชื่นชม เงิน ชื่อเสียงและมิตรมหาศาลย่อมตามมาเสมอ
ว่า ด้วยการกล่าวหา
คนโง่ มักกล่าวหาผู้อื่น จึงมีแต่ศัตรูรอบตัว นำมาซึ่งความหายนะและความตาย
คนฉลาด ชอบกล่าวหาตัวเอง จึงได้รับความสงสารไปทั่ว และนำมาซึ่งความสมเพช
คนเจ้าปัญญา ไม่กล่าวหาใคร ด้วยแท้จริงไม่มีใครอยากผิด แต่พลาดไปเพราะไม่เห็นความผิด หรือเห็นแต่ไม่มีโอกาสเลือกสิ่งที่ถูก หรือมีโอกาสแต่ไม่มีกำลังพอที่จะตัดสินใจเลือก เขาจึงให้กำลังใจทุกคนสู่ความแกล้วกล้า ทุกคนจึงเป็นหนี้บุญคุณเขา และยอมรับเขาดั่งมิตรผู้ประเสริฐ