ผู้มีพระคุณ (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
ทุกๆ คนย่อมรู้อยู่แก่ใจตนเองว่าใครเป็นผู้มีพระคุณแก่ตนบ้างและวิสัยของคนดีย่อม รู้คุณผู้มีพระคุณแก่ตนและย่อมตอบแทนด้วยคุณ คือเกื้อกูลตอบตามโอกาสที่ควรทำ
แต่เพราะคนมี โลภ โกรธ หลงที่เกิดขึ้นลำพังตนเองบ้าง ถูกชักจูงบ้าง จึงได้กลายเป็นผู้ลบหลู่คุณของผู้มีคุณ เพียงไม่รับรู้ ไม่นับถือ หรืออย่างแรงก็ทำลายผุ้มีคุณแก่ตน เป็นเหตุให้เกิดความเดือดร้อนวุ่นวายขึ้นทุกฝ่าย
อะไรจะช่วยได้ นอกจากธรรมของพระพุทธเจ้า ถ้าหมู่ชนปราศจากธรรม ก็จะมีแต่คนที่เห็นแก่ตนหรือมุ่งที่จะเอาเปรียบกัน เบียดเบียนกัน หรือว่าฝ่ายหนึ่งให้ความอุปการะ อีกฝ่ายหนึ่งไม่รู้คุณ หรือฝ่ายที่ควรให้อุปการะ แต่ไม่ให้เพราะความมีใจคับแคบ เป็นต้น
พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสเตือนเพื่อให้เกิดความสำนึกว่า คนสองจำพวกออกจะหาได้ยาก คือ คนที่ทำอุปการะก่อน กับ คนที่รู้จักคุณและตอบแทนคุณ ดังที่เรียกว่า คนมีความกตัญญูกตเวที จะหาได้ยากอย่างไร
ทุกๆ คนเมื่อตรวจดูที่ตนเองก็ย่อมจะรู้ว่า บัดนี้ตนเองควรจะอุปการะใคร และได้ทำตามสมควรแล้วหรือยัง คือได้สร้างความหลังที่เป็นคุณให้แก่ใคร แม้ในปัจจุบันได้ก่อสร้างคุณให้แก่ใคร หรือว่าก่อสร้างแต่โทษเป็นส่วนมาก
อีกอย่างหนึ่ง ได้รับรู้และตอบแทนด้วยคุณแก่ผู้มีคุณมาแล้วเพียงไร หรือว่ากำลังครุ่นคิดและทำในทางก่อโทษทุกข์หรือทำลายเหมือนกังคำว่า “กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นไฟ” คือ กลางคืนครุ่นคิดวางแผน กลางวันวางเพลิง
ตรวจดูใจตนเองแล้วย่อมจะรู้ได้ และย่อมจะเกิดสติสำนึกได้ว่าสมควรอย่างไร สตินี้เองจะนำธรรมมา คือความเมตตาสงสาร ที่จะเป็นเหตุให้เว้นการทำที่เป็นการทำลาย และความกตัญญูกตเวที
ธรรมของพระพุทธเจ้าดังกล่าวนี้เท่านั้น ที่จะช่วยกู้ใจคนได้จากควันและไฟที่ร้ายแรง ซึ่งรมใจให้ร้อนอยู่ในเวลากลางคืน และเผาให้ไหม้ในเวลากลางวัน
เมื่อกู้ใจให้พ้นขึ้นมาได้ด้วยธรรมแล้วจึงพบความเย็น ความหลังที่เกื้อกูลกัน อันเป็นที่ตั้งอาศัยที่แท้จริงของชีวิตปัจจุบันก็จะปรากฏขึ้น และผู้มีพระคุณจะปรากฏเด่นชัด คงกระพันชาตรีอยู่ด้วยธรรมานุภาพของพระพุทธเจ้าผู้เลิศล้ำ
: สิริมงคลของชีวิต
: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก