มุสาวาท พูดเท็จ
สมณะ คือ ผู้สงบ เป็นผู้ที่เห็นภัยในวัฏสงสาร สละเรือนออกบวช อยู่ในฐานะปูชนียบุคคล คือผู้ที่ควรแก่การกราบไหว้ ควรแก่เครื่องสักการบูชา และเป็นเนื้อนาบุญของโลก
ถ้าเราปฏิบัติดีต่อท่านด้วยกาย วาจา ใจ ผลดีก็จะเกิดขึ้นกับตัวเรา แต่ถ้าปฏิบัติผิดก็จะมีวิบากกรรมที่ร้ายแรง โดยเฉพาะในยุคสมัยนี้ ผู้คนมักจะเผลอสร้างบาปด้วยวจีกรรมในลักษณะต่างๆ เช่น ใส่ร้าย เสนอข่าวบิดเบือน หรือแม้กระทั่งด่าว่าพระภิกษุสงฆ์
เราลองมาศึกษาอกุศลกรรมทางวาจา คือคำพูดที่ก่อให้เกิดบาปแก่ตน เฉพาะที่เป็นมุสาวาทว่ามีองค์ประกอบด้วยกัน 4ประการดังนี้
1.เรื่องที่จะนำเสนอนั้นเป็นเรื่องไม่จริง
2.มีจิตคิดจะพูดเท็จ
3.พูดเท็จ หรือแม้จะแสดงอาการทางกาย เช่น สั่นศีรษะ หรือพยักหน้าทำให้ผู้อื่นเข้าใจความหมาย
4.ผู้อื่นเชื่อตามเนื้อหาอันเป็นเท็จนั้น
หากครบองค์ทั้ง 4ก็เป็นอันว่าผิดศีลข้อมุสาวาท ถ้าหากไม่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ที่หลงเชื่อแต่อย่างใด ก็เป็นเพียงมุสาวาท แต่ไม่สำเร็จเป็นอกุศลกรรมบถ คือ ไม่นำผู้พูดหรือผู้กระทำให้ต้องไปสู่อบาย
ถ้าหากครบองค์ 4 ด้วย และทำความเสียหายให้แก่ผู้ที่หลงเชื่อด้วย ก็สำเร็จเป็นมุสาวาท และเป็นทั้งอกุศลกรรม ที่สามารถนำไปสู่อบายได้ด้วย
มุสาวาทที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นนั้น ถ้าผู้ฟัง ฟังแล้วเชื่อตาม หากก่อให้เกิดความเสียหายน้อย มุสาวาทนั้นก็มีโทษน้อย ถ้าก่อให้เกิดความเสียหายมาก มุสาวาทนั้นก็มีโทษมาก
และก็อยู่ที่ความเพียรในการพูดเท็จด้วย คือถ้าหากใช้ความเพียรในการพูดเท็จมาก ก็มีโทษมาก ใช้ความเพียรในการพูดเท็จน้อยก็มีโทษน้อย
ความเพียรในการพูดเท็จนั้นมี 4 อย่าง คือ
1.พยายามพูดเท็จด้วยตนเอง ซึ่งเป็นการพูดเท็จโดยส่วนใหญ่
2.ใช้ให้คนอื่นพูดเท็จ
3.เขียนเรื่องไม่จริงแล้วแจกจ่ายไปให้คนอื่นเขาเข้าใจผิด หรือส่งเป็นจดหมาย กระทั่งส่งให้เขาโฆษณาทางวิทยุ
4.เขียนเรื่องที่ไม่จริง แล้วปิดประกาศไว้หรือจารึกไว้หรือพิมพ์เป็นหนังสือขึ้นหรืออัดเสียงไว้
ซึ่งก็คงไม่ต่างอะไรกับในอดีตกาล มักจะเริ่มต้นจากบุคคลที่เสียประโยชน์ แล้วก็สร้างเรื่องราวที่เป็นเท็จเพื่อหวังผลที่จะให้อีกฝ่ายหนึ่งเกิดความเสียหาย เช่นเรื่องนางจิญจมาณวิกา ใส่ร้ายพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา
----
คราวหนึ่ง นางจิญจมาณวิกาได้ร่วมกันวางแผนชั่วกับพวกนักบวชต่างศาสนา โดยนางแกล้งเดินเข้าเดินออกใกล้กุฏิที่พักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้คนทั้งหลายเข้าผิดใจว่า ตนได้ร่วมหลับนอนกับพระพุทธองค์
เมื่อเวลาผ่านไป ๓-๔ เดือน ก็เอาผ้าพันท่อนไม้ผูกไว้ที่ท้อง ใส่เสื้อผ้าคลุมไว้แสดงอาการว่า ตนเองได้ตั้งท้องกับพระบรมศาสดา ทำให้ปุถุชนจำนวนมากเข้าใจผิดว่า คงจะเป็นจริงอย่างนั้น และเกิดวิพากษ์วิจารณ์กันไปอย่างกว้างขวาง
เมื่อผ่านไป ๘-๙ เดือน นางจิญจมาณวิกาก็เปลี่ยนไม้ใหม่ให้ท้องดูใหญ่ขึ้น ใส่ชุดคลุมปิดทับเอาไว้ ทำอาการเหมือนหญิงมีครรภ์แก่ใกล้คลอด มายืนพูดใส่ร้ายพระองค์ท่ามกลางธรรมศาลาว่า
พระองค์มัวแต่แสดงธรรม ไม่ดูแลครรภ์ของหม่อมฉันเลย จะให้หม่อมฉันคลอดที่ไหน
พระบรมศาสดาทรงหยุดพักการแสดงธรรมในทันที แล้วได้ตรัสว่า
น้องหญิง คำที่เธอกล่าวจะเป็นความจริงหรือไม่ เราและเธอเท่านั้นย่อมรู้
นางจิญจมาณวิกาก็รับคำทันทีว่า
ใช่แล้ว มหาสมณะ เรื่องนั้นได้เกิดขึ้นแล้ว พระองค์และหม่อมฉันก็รู้แล้ว
พลางก็เต้นแร้งเต้นกาด่าว่าพระพุทธองค์ จนเป็นเหตุให้เชือกที่รัดท้องขาด ไม้ที่นางผูกเอาไว้ที่ท้องจึงตกลงกระทบเท้าทั้งสองของนางจนเท้าแตก
มหาชนเห็นความจริงเป็นดังนั้น จึงพากันถ่มน้ำลายลงบนศีรษะ ฉุดลากนางออกจากวัดพระเชตวัน เมื่อพ้นจากสายพระเนตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แผ่นดินก็แยกออกดูดนางลงไปสู่อเวจีมหานรก ถูกไฟเผาไหม้ตลอดกาลนานจนถึงทุกวันนี้
----
หรือเรื่องราวของนางสุนทรีที่รับปากกับพวกนักบวชเดียรถีย์ ได้มาทำลายเกียรติคุณของพระบรมศาสดา
โดยนางทำทีเป็นเข้าไปนอนค้างในวัดพระเชตวัน แต่พอรุ่งเช้า ชาวเมืองพากันเข้าวัด เธอก็แกล้งเดินสวนทางออกมา เมื่อถูกถามเธอก็บอกว่า
ได้นอนร่วมกับพระบรมศาสดา
จึงเกิดข่าวลือไปทั่วพระนครว่า
นางสุนทรีได้ร่วมหลับนอนกับพระสมณโคดม
จากนั้นพวกเดียรถีย์ก็ว่าจ้างพวกขี้เมาให้ฆ่านางสุนทรี ให้ซ่อนศพของนางไว้ในกองขยะดอกไม้ไม่ไกลจากพระคันธกุฎี
วันรุ่งขึ้น พวกเดียรถีย์ก็ปล่อยข่าวว่า นางสุนทรีหายตัวไป แล้วแกล้งออกตามหา ก็ได้พบศพของนางที่พวกตนสั่งฆ่าซ่อนไว้ในกองขยะดอกไม้ จึงให้ยกศพขึ้นวางบนเตียง ทูลแด่พระราชาว่า
พระสาวกของพระสมณโคดมฆ่านางสุนทรี ด้วยคิดว่า จะปกปิดความชั่วที่พระศาสดาทำ
พระราชาทรงเชื่อตามนั้น จึงได้รับสั่งให้นำศพนางสุนทรีไปไว้ที่ป่าช้าผีดิบก่อน แล้วให้ป่าวประกาศข่าวการตายของนางให้ทั่วพระนคร แต่พวกเดียรถีย์กลับสั่งให้เหล่าสาวกของตนหามเตียงที่มีศพนางสุนทรีแห่ประกาศยกความผิดให้พระบรมศาสดาและพระสาวกไปทั่วเมือง
พวกคนหูเบาทั้งหลายจึงเกิดความเข้าใจผิด เชื่อว่าเป็นจริงอย่างนั้น พากันด่าประณามพระบรมศาสดาและพระภิกษุสงฆ์ไปจนทั่วพระนคร
พระบรมศาสดาทรงทราบเรื่องนั้น จึงตรัสสั่งพวกภิกษุให้ตอบมหาชนไปว่า
คนผู้ด่าผู้อื่นด้วยคำที่ไม่เป็นจริง ย่อมไปสู่นรก ส่วนพวกคนที่ทำแล้ว พูดว่าไม่ได้ทำก็จะไปสู่นรกเช่นเดียวกัน
พระราชาทรงทราบเรื่องที่พวกพระภิกษุกล่าวโต้ตอบ ก็ทรงแคลงพระทัย จึงรับสั่งให้พวกจารบุรุษออกสืบดูให้รู้ความจริงว่าใครเป็นคนฆ่ากันแน่
พวกจารบุรุษได้ยินพวกนักเลงสุราที่ฆ่านางสุนทรี เมื่อเมาแล้วพากันคุยโม้อวดเก็งว่าตนเป็นคนฆ่าเอง ตนเป็นคนตีก่อน จึงจับพวกขี้เมามัดนำตัวไปกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ
พระราชาครั้นทรงทราบความจริงทั้งหมดว่า เรื่องเลวร้ายที่ผ่านมาล้วนเป็นความคิดวางแผนของพวกเดียรถีย์ทั้งสิ้น จึงรับสั่งให้ประหารพวกเดียรถีย์ที่เป็นต้นคิดและพวกนักเลงสุราเหล่านั้นทั้งหมด
บุคคลจำพวกเดียวกันนี้ แม้ในปัจจุบันก็มีอยู่จำนวนมาก เมื่อพวกเขาละจากโลกไปแล้ว ก็จะต้องไปสู่อบาย โดยเริ่มต้นจากต้องไปมหานรกก่อน จะได้รับทุกข์ทรมานอย่างหนักคือ
จะมีนายนิรยบาลที่มีลิ้นยาวออกจากปากมีลักษณะเหมือนใบมีดคมกริบ ในมือก็ถือตะบองหนาม มืออีกข้างก็ถือลูกตุ้มเหล็ก แล้วใช้ลิ้นที่เป็นดาบมาเฉือนเนื้อหนังชั้นนอกของสัตว์นรกออก แล้วใช้กระบองหนามและลูกตุ้มหนามทุบตีไปบนร่างกายของสัตว์นรก
จากนั้นก็จะใช้ถังตักน้ำคูถกรด มาสาดใส่ร่างของสัตว์นรก ให้ได้รับความทุกข์ทรมานจนตาย เป็นเช่นนี้อยู่ยาวนาน
เมื่อหมดกรรมไปอยู่อุสสุทนรก ก็ต้องไปแหวกว่ายอยู่ในทะเลน้ำคูถกรด ได้รับทุกข์ทรมาน ตายแล้วเกิด วนเวียนอยู่อีกยาวนาน
เมื่อว่ายถึงอีกฝั่งก็จะมีอีกาปากเหล็ก คอยจิกร่างกายของสัตว์นรก แล้วจะถ่ายคูถกรดรดร่างของสัตว์นรก ให้ได้รับความทุกข์ทรมานจนตายเกิดสลับไปมาจนหมดกรรม
เมื่อหมดกรรมจากอุสสุทนรก ก็จะไปที่ยมโลก จะถูกเจ้าหน้าที่ในยมโลก จับโยนลงไปในบ่อคูถกรดร้อน ให้แหวกว่ายอยู่ในนั้นจนหมดกรรม ก็จะพยายามหนีขึ้นมาก็จะใช้หอกทิ่มแทง ได้รับทุกข์ทรมานมาก
ถ้าตอนเป็นมนุษย์เคยพูดบิดเบือน ด่าว่าพระภิกษุเอาไว้ ก็จะมีลักษณะร่างกายที่บิดเบี้ยวคดเคี้ยวไปมา ยิ่งถ้าพูดบิดเบือนมาก ร่างกายก็จะบิดเบี้ยวมาก
ถ้าไปเป็นเปรตก็จะมีลักษณะประหลาดคือ แขนมาอยู่แทนขา และขาก็ไปอยู่แทนแขน หัวมาอยู่ที่ก้น ต้องคอยกินคูถที่ตนเองถ่ายออกมา เพราะกรรมที่พูดคำเท็จ ทำให้เรื่องราวกลับตาลปัตร กลับไปกลับมา
เมื่อหมดกรรมจากยมโลก ก็จะมาเป็นสัตว์เดรัจฉานชนิดต่างๆ เริ่มจากสัตว์ชั้นต่ำ เช่น แมลงที่อาศัยอยู่ในกองคูถ หรือสัตว์ที่อาศัยอยู่ในถังส้วม เช่น หนอน แมลงสาบ สัตว์ที่กินคูถเป็นอาหาร
ถ้าดีขึ้นมาหน่อยก็เกิดเป็นสุนัขขี้เรื้อน หรือสัตว์ขี้เรื้อนชนิดต่างๆ ด้วยวิบากกรรมที่ทำให้สมณะต้องร้อนอกร้อนใจจากคำพูดของพวกเขา
แม้มาเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะมีฟันเหยิน ฟันเกไม่งดงาม แล้วก็จะถูกเขาใส่ร้าย บิดเบือนเรื่องราวให้ผู้อื่นเข้าใจผิด เป็นอยู่เช่นนี้ทำให้ชีวิตไม่มีความสุข
ดังนั้นจึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะกล่าววาจาเท็จ ว่าร้ายผู้ทรงศีล เพราะไม่คุ้มกับวิบากกรรมที่จะต้องได้รับในอบาย ควรกล่าวแต่ปิยวาจา คำที่ยกจิตชูใจจะดีกว่า ใครฟังแล้วก็สบายอกสบายใจ พูดแต่เรื่องจริงเป็นประโยชน์จะทำให้โลกของเราใบนี้น่าอยู่ตลอดไป
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!