ขอบคุณความเป็นอนิจจัง
เรามีครูบาอาจารย์หลายท่านที่สอนเรื่องความเป็นอนิจจัง รวมทั้งลัทธิเต๋าด้วย ต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าทุกอย่างเป็นอนิจจัง ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ ถึงเธอจะเห็นด้วยกับคำสอนนี้ มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก เพราะคำสอนนี้ไม่ใช่แค่ความคิดเฉยๆ เธอต้องใช้ความเป็นอนิจจังนี้เป็นเครื่องมือในการเจริญสมาธิ เมื่อเธอสัมผัสกับทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเธอตลอดทั้งวัน เธอจะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนิจจังได้ด้วยตัวเอง เธอสามารถมองเห็นความเป็นอนิจจังในคู่ครองของเธอ เห็นว่าเขาเปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ ตัวเธอเองก็เปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ และเธอเองก็เป็นอนิจจังเช่นเดียวกัน
เรามีแนวโน้มที่จะเชื่อเรื่องการคงอยู่อย่างถาวร แต่นั่นไม่เป็นอนิจจัง ถ้าเธอเปรียบเทียบภาพของเธอเมื่ออายุ 5 ขวบกับตัวเธอในปัจจุบัน เธอจะเห็นว่ามีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก ทั้งในแง่ของร่างกาย ความรู้สึก และการรับรู้ เธอสามารถมองเห็นความแตกต่างอันยิ่งใหญ่ระหว่างเธอเมื่ออายุ 5 ขวบกับเธอในปัจจุบัน เธอจะเห็นความเป็นอนิจจัง เมื่อเรามีการเจริญสมาธิอย่างลึกซึ้งในธรรมชาติของความเป็นอนิจจัง ความเป็นอนิจจังจะเป็นเครื่องมือที่จะช่วยเรา
ความเป็นอนิจจังนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องทางลบ ไม่ใช่บทเพลงที่ทำให้รู้สึกเศร้า เพราะถ้าเธอตระหนักรู้ว่าทุกอย่างเป็นอนิจจัง เธอจะเห็นคุณค่าของสิ่งต่างๆ มากขึ้น เธอจะเห็นคุณค่าของสิ่งต่างๆ ที่อยู่ ณ ที่นี้ เพราะเธอรู้ว่ามันเป็นอนิจจัง และเธอก็จะเห็นคุณค่าของทุกนาทีที่จะอยู่กับเขา ถ้าเธอเห็นความเป็นอนิจจังของทุกสิ่งทุกอย่าง เธอจะเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีความสวยงามมาก เหมือนกับดาวตกที่อยู่เพียงชั่ววินาที เหมือนดอกไม้ไฟที่ถูกจุดขึ้นมา สว่างไสวไปชั่วแค่วินาทีเดียวก่อนดับไป
เวลาที่เรามีความโกรธ เราอาจพูดออกไปด้วยความรู้สึกโกรธเพื่อทำให้คนที่รักเรารู้สึกเป็นทุกข์ เราจะต้องพิจารณาว่าคนรักของเธอนั้นเป็นอนิจจัง เธออาจหลับตาและทำสมาธิเพื่อมองให้เห็นว่าอีก 300 ปี คนรักของเธอก็จะไม่อยู่ในรูปลักษณ์แบบนี้ และตัวเธอเองก็จะไม่อยู่ในรูปลักษณ์แบบนี้เช่นเดียวกัน เมื่อเธอสัมผัสกับธรรมชาติความเป็นอนิจจัง เธอจะสามารถลืมตาขึ้นมาและเห็นว่าความโกรธนั้นได้มลายหายไป เธอได้ตระหนักรู้ถึงคุณค่าของทุกวินาทีที่คนรักยังอยู่กับเธอ เธออาจสวมกอดคนรักเขาให้อยู่ในอ้อมกอดของเธอ หายใจเข้า เธอยังอยู่ที่นี่ หายใจออก ความโกรธได้ถูกถอดถอนออกไปด้วยการพิจารณาความเป็นอนิจจัง
เห็นอนิจจังก็เห็นธรรม
ความเป็นอนิจจังในพุทธศาสนาไม่ได้หมายถึงความเป็นอนิจจังเท่านั้น แต่หมายถึงความไร้ตัวตน (อนัตตา) ความเป็นดั่งกันและกัน ความเอื้ออิงเกื้อกูลเพื่อที่จะเกิดขึ้น หรือ ปฏิจจสมุปบาท ถ้าไม่เห็นธรรมชาติของสิ่งเหล่านี้ เราก็จะไม่เห็นธรรมชาติของความเป็นอนิจจังด้วย เวลาที่เราพิจารณาความเป็นอนิจจังก็หมายถึง เราพิจารณาความเป็นดั่งกันและกัน ความเป็นอนัตตา และความเป็นปฏิจจสมุปบาทด้วย
ความเป็นอนิจจังนั้นไม่ใช่ความจริง แต่เป็นปรมัตถ์หรือความจริงอันสูงสุดที่เราจะต้องประกาศว่าเป็นความจริงสมบูรณ์ยิ่งใหญ่กว่าความจริงอื่น หาใช่ลัทธิความเชื่อ แต่เป็นสิ่งที่เราจะต้องก้าวข้ามผ่านความคิดเห็นที่เรายึดติดกับการเป็นอนิจจัง เพราะความเป็นอนิจจังไม่ใช่ความคิดเห็น แต่เป็นเครื่องมือที่ให้เราใช้
สมมติเรามีคำถามว่า ความเป็นอนิจจังคืออะไร ความเป็นจริงคือ ต้นไม้เป็นอนิจจัง ก้อนเมฆก็เป็นอนิจจัง แล้วอะไรเล่าคืออนิจจัง
ความเป็นอนิจจังนั้นเป็นเหมือนคำคุณศัพท์ แต่มันก็ควรจะเป็นคำนามด้วย คำคุณศัพท์คือคำที่บอกคุณลักษณะ เป็นคำที่ขยายคำนาม ความเป็นอนิจจังหมายถึง ไม่มีอะไรที่จะอยู่เหมือนเดิมตลอดไป แต่บางอย่างอาจสามารถอยู่ได้เพียงชั่วขณะเท่านั้น ในชั่วขณะต่อไปมันก็กลายเป็นสิ่งอื่น ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่น่าตลกที่จะเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะคงอยู่ตลอดไป เพราะทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ตรงนั้นแค่ชั่วขณะของเสี้ยว เสี้ยว เสี้ยว วินาที และนั่นก็คือเช่นนั้นเอง
เวลาที่เราเห็นภาพลักษณ์บางอย่าง ภาพบางอย่างที่ปรากฏขึ้นภายนอก เราคิดว่าข้างในคงมีอะไรบางอย่างที่อยู่ได้นาน นั่นก็คือจุดที่ทำให้เราตีตราลงไปว่ามันเป็น "นิจจัง" หรือถาวร แต่จริงๆ แล้วเธอไม่สามารถอยู่ตรงนั้นได้เหมือนกับเป็นคนเดิมแม้ในชั่วขณะ หรือสองชั่วขณะ
หวังว่าคำสอนนี้คงไม่ซับซ้อนจนเกินไป ...๐
ธรรมบรรยายโดย ท่านติช นัท ฮันห์
ที่มาthaiplumvillage