กายทิพย์ และ กายธรรม
กายทิพย์ และ กายธรรม
1. จิตตัวรู้ คือ วิญญาณธาตุบริสุทธิ์ เป็นจิตประภัสสร แต่ก็ยังเป็นกายทิพย์อยู่ เพราะ กายทิพย์ เป็นกายที่เกิดจากจิตยึดถือความนึกคิดถึงอารมณ์ไว้ แม้แต่อารมณ์เมตตากรุณาก็เป็นเหตุให้เกิดกายทิพย์ได้ เช่น พระพรหมที่เป็นรูปพรหม แม้แต่มหาพรหม และอรูปพรหมต่างๆ
2. วิญญาณธาตุบริสุทธิ์ เปลี่ยนจากชื่อเรียกว่า กายทิพย์ เรียกชื่อใหม่ว่า ธรรมกาย หรือกายธรรม หรือวิญญาณเหล่าพรหมสุทธาวาสหรือ วิญญาณเหล่าอรหันต์
3. อย่างไรก็ตาม วิญญาณธาตุบริสุทธิ์ หรือ กายธรรม ก็ยังเป็นจิตสังขาร เป็นกายทิพย์ที่วนเวียนอยู่ใน 3 ภพ
4. เราต้องดับวิญญาณธาตุบริสุทธิ์ หรือวิญญาณเหล่าพรหมสุทธาวาส หรือวิญญาณเหล่าอรหันต์ของตนเองเสีย ครั้นดับวิญญาณธาตุแล้ว ไม่ไปก่อภพก่อชาติอีก นั่นแหละพระนิพพาน
5. พระมหากัสสปะ พระพาหิระ หลวงพ่อสด พระครูเทพโลกอุดร ฯลฯ เหล่านี้ท่านบรรลุอรหันต์แล้ว แต่ท่านคงกายธรรมที่เป็นกายทิพย์บริสุทธิ์ของพวกท่านไว้ โดยใช้จิตเข้าไปพอใจ หรือเข้าไปยึดถือความรู้สึกที่เกิดขึ้นเนื่องด้วยอารมณ์อันใดอันหนึ่งไว้ เพราะ ถ้าจิตยังคงมีความพอใจเข้าไปยึดถืออารมณ์อันใดเอาไว้ ตราบนั้นมันก็จะสร้าง กายทิพย์ ที่เปลี่ยนชื่อเป็น กายธรรม ให้มีอายุยืนยาวได้
พระมหากัสสปะ จิตอรหันต์ของท่าน ตั้งความปราถนาเอาไว้ว่า จะอยู่รอพระศรีอริยะเมตตรัย และเข้านิพพานพร้อมกับพระศรีอริยะเมตตรัย
หลวงพ่อสด จิตอรหันต์ของท่าน ตั้งความปราถนาเอาไว้ว่า จะเดินวิชาปราบมารเพื่อช่วยงานพระพุทธเจ้าต้นธาตุ-ต้นธรรม
พระครูเทพโลกอุดร จิตอรหันต์ของท่าน ตั้งความปราถนาเอาไว้ว่า จะอยู่รักษาพุทธศาสนาให้ครบ 5000 ปี
พระอวโลกิเตศวร จิตอรหันต์ของท่าน ตั้งความปราถนาหรือปณิธานเอาไว้ว่า "หากยังมีสัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยากอยู่ จักไม่ขอบรรลุพุทธภูมิ"
การตั้งความปราถนาหรือปณิธานของพระอรหันต์เหล่านี้ ทำให้กายทิพย์ที่เป็นกายธรรมของท่าน ยังวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์ต่อไป
อนึ่ง พระพุทธเจ้าบางท่านก่อนจะเข้านิพพาน ก็ให้ตัวของท่านอยู่ช่วย 3 โลกต่อไป เช่น พระสัทธรรมวิทยาพุทธเจ้า ก่อนจะเข้านิพพาน ท่านยังทรงมีจิตเมตตาต่อสัตว์โลกจึงได้เนรมิตรพระโพธิสัตว์จำนวนมากมาโปรดสัตว์ แต่เกิดเป็นพระอวโลกิเตศวรองค์เดียว
แม้แต่โคตมะพุทธเจ้าเข้านิพพาน ทางมหายานก็เชื่อว่า ก่อนที่พระองค์ท่านจะเข้านิพพาน ท่านให้ตัวของท่านอยู่ช่วย 3 โลกต่อไปเช่นกัน จึงเกิดกายที่เรียกว่า สัมโภคกายขึ้นมา แต่ในพุทธเถรวาทเชื่อว่าพระองค์มีแต่กายธรรมหรือธรรมกายเท่านั้น
พระนาคเสน มหาเถระ ผู้ตอบปัญหาพระเจ้ามิลินทราชา
" .....พระพุทธเจ้ามีจริง แต่พระพุทธเจ้าปรินิพพานดับขันธ์แล้ว ไม่อาจชี้ได้ว่าอยู่ที่ไหน เหมือนเปลวไฟที่ดับแล้วก็ไม่อาจชี้ได้ว่าอยู่ที่ไหน อาจชี้ได้เพียงพระธรรมกาย ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น....."
นี่แสดงว่า พระนิพพานไม่อยู่ใน 3 ภพแล้ว คงเหลือแต่ จิตบริสุทธิ์ อยู่ใน 3 ภพ ที่เรียกว่า กายธรรม หรือ พระธรรมกาย ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
พึงตะหนักว่า สัมโภคกาย คือกายที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า ซึ่งไม่มีการแตกดับ อยู่ในสภาวะที่เป็นทิพย์ อยู่ชั่วนิรันดร์กาล น่าจะเป็นสิ่งที่ชาวพุทธเถรวาทเรียกว่า "ธรรมกาย"
เนื่องจาก ตำราของสมมุติสงฆ์เชื่อว่า "ธรรมกาย" หมายถึง สภาวะอันเป็นอมตะ เป็นสิ่งไร้รูป ไม่อาจรับรู้ด้วยอำนาจสัมผัสใดๆ ไม่มีเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด ซึ่งก็ตรงกับคำว่า "นิพพาน"
อนึ่ง นิรมาณกายหรือกายมนุษย์ของพระพุทธเจ้านั้น เป็นการนิรมิตมาจากสัมโภคกาย และสัมโภคกายเป็นการนิรมิตออกมาจากธรรมกาย หรือ พระธรรม
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า:
"ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็ผู้ใดแล มีศรัทธาตั้งมั่น ในตถาคต เกิดขึ้นแล้ว แต่รากแก้ว คืออริยมรรค ประดิษฐานมั่นคง อันสมณพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือผู้หนึ่งผู้ใดในโลก ไม่พรากไปได้ ควรเรียกผู้นั้นว่าเป็นบุตร เกิดแต่พระอุระเกิดจากพระโอษฐ์ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้เกิดจากธรรม อันธรรมนิรมิตขึ้น (เป็นผู้ที่พระธรรมเนรมิตขึ้น)"
ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ในอัคคัญญสูตร