สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน)
อันความดีและความชั่วนี้ มีลักษณะพร้อมทั้งผลต่างกัน
เมื่อเป็นความดีจริง
ถึงใครจะพยายามเปลี่ยนแปลงให้เป็นความชั่ว ก็ไม่อาจทำได้
คงเป็นความดีอยู่นั้นเอง
แม้ความชั่วก็เหมือนกัน
เมื่อเป็นความชั่วจริง ก็คงเป็นความชั่วอยู่นั้นเอง
ไม่มีใครสามารถจะกลับกลายให้เป็นความดีไปได้
ส่วนความอ้างเอาเองและความเข้าใจของคน
ก็เป็นเพียงความอ้างเอาเองหรือความเข้าใจเท่านั้น
แม้จะทำให้เกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่งได้บ้าง
เช่น การใส่ความ การยกยอโดยไม่เป็นความจริง
ก็ไม่ใช่ผลของความดีความชั่วนั้นโดยตรง
ผลของความดีหรือความชั่วนั้น จะต้องมาถึงเมื่อถึงโอกาส
เพราะการให้ผลของความดีหรือความชั่วก็มีเวลาเหมือนวันคืน
เมื่อยังเป็นเวลากลางวัน
จะเร่งเป็นเวลากลางคืนสักเท่าไรก็คงเป็นไปไม่ได้
จนกว่าจะถึงเวลาสิ้นวัน เวลากลางคืนก็เข้ามาถึงเอง
แม้ในเวลากลางคืนก็เหมือนกัน
จะเร่งให้เป็นเวลากลางวันเท่าไร ก็เป็นไปไม่ได้
จนกว่าจะสิ้นวันแล้วกลางวันก็จะเริ่มขึ้นเอง
เวลาความดีให้ผลเหมือนกลางวัน
เวลาความชั่วให้ผลเหมือนกลางคืน
ฉะนั้นบุคคลในโลกนี้เมื่ออยู่ในระยะกาลที่ความดีให้ผล
ก็มีชีวิตสว่างรุ่งเรือง
แม้จะทำความชั่วในระหว่างนั้นก็ยังสว่างไสวอยู่ก่อน
จนกว่าจะถึงกาลที่ความชั่วให้ผล
แต่เมื่ออยู่ในระยะกาลที่ความชั่วให้ผล
ชีวิตก็อับแสงเศร้าหมอง
ถึงจะทำความดีในระหว่างนั้นก็ยังอับแสงต่อไป
จนกว่าจะถึงกาลแห่งความดีให้ผล
เหตุฉะนี้บุคคลบางคนหรือบางพวก
ผู้ไม่มีศรัทธาในกรรมหรือผลของกรรม
จึงมักมีความเห็นเลื่อนลอยไปตามผลต่างๆ
ที่เห็นจำเพาะหน้า เห็นอย่างไรก็พูดอย่างนั้น
เป็นต้นว่า เห็นบางคนทำดีและได้รับผลดีก็พูดว่า
ทำดีได้ดี เห็นบางคนทำชั่วแต่ได้รับผลดี
ก็พูดว่าทำชั่วได้ดี เห็นบางคนทำชั่วได้รับผลชั่วก็พูดว่า
ทำชั่วได้ชั่ว เห็นบางคนทำดีแต่ได้รับผลชั่ว ก็พูดว่า ทำดีได้ชั่ว
คนมิใช่น้อยพูดเลื่อนลอยไปตามที่เห็นจำเพาะอย่างนี้
เพราะไม่ทราบหรือไม่เชื่อในกฎของกรรม
อันเกี่ยวกับกาลกำหนดเหมือนอย่างวันคืนดังกล่าว
ฉะนั้นเมื่อมีความรู้หรือความเชื่อในกฎของกรรม
ก็จักกล่าวอย่างแน่นอนไม่เลื่อนลอยว่า
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
ลานธรรมจักร
ความอับ ความสว่างของชีวิต
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!