๓๐ คำคมจากธรรมะโมบาย โดย ว.วชิรเมธี
๑. หนึ่งครั้งที่แม่ตบลงไปบนหน้าลูก
อาจก่อให้เกิดความสั่นสะเทือนลึกลงไปสุดใจของลูก ทั้งชีวิต
หนึ่งอ้อมกอดที่แม่บรรจงหยิบยื่นให้ลูก อาจก่อให้เกิดความพันผูกข้ามกาลเวลา
ทุก ๆ ปฏิสัมพันธ์เป็นได้ทั้งบาดแผล และ ดอกไม้สำหรับลูก
๒. คนใกล้ชิดเป็นศัตรู แม้กำแพง ๗ ชั้น ก็ป้องกันไม่ได้
ศัตรูที่มาจากภายนอกต่อให้ยกมาถึง ๙ ทัพ เราก็มองเห็นและเตรียมตัวทัน
แต่ศัตรูที่มาจากคนในด้วยกัน คือศัตรูที่อันตรายที่สุด
เพราะเรามักมองไม่เห็น และไหวตัวไม่ทัน
๓. เวลาเรือเอียงเรามักจะมองเห็นและแก้ไขได้ทันท่วงที
แต่ความลำเอียงในใจคนมักถูกปกปิดอย่างมิดชิดและแสดงออกอย่างแยบยล
กว่าจะรู้ว่าคนที่เรารักมากด้วยความลำเอียง
บางครั้งมันก็สายเกินไป
๔. ไม่มีแรงใดเสมอด้วยแรงกรรม
แรงฟ้ามนุษย์แก้ได้ด้วยสายล่อฟ้า
แรงน้ำมนุษย์แก้ด้วยการเปลี่ยนเส้นทาง หรือสร้างกำแพงกั้นน้ำ
แรงพายุมนุษย์แก้ได้ด้วยการปลูกป่า
แต่แรงกรรมมีแต่ต้องก้มหน้ารับโดยส่วนเดียว
๕. อยู่คนเดียวจงระวังความคิด อยู่กับมิตรจงระวังวาจา
อยู่กับมารดาบิดาจงระวังการปฏิบัติตน
ถ้าคิดไม่ระวังจะกลายเป็นคิดฟุ้งซ่าน
ถ้าพูดไม่ระวังมิตรจะเข้าใจผิด
ถ้าปฏิบัติไม่ดีต่อมารดาบิดาจะเป็นการสร้างบาปให้ตนเอง
๖. ทำบาตรแตก ถ้วยแตก ชามแตก แก้วแตก ยังดีกว่าทำให้คนแตกกัน
เนื่องเพราะวัตถุที่แตกแล้วสามารถประสานให้ดีดังเดิม ได้อย่างง่ายดาย
แต่ถ้าคนแตกสามัคคีกันเป็นฝักฝ่ายแล้ว
บางทีทั้งชีวิตก็ไม่สามารถสนิทสนมกันได้อีก
๗. สิ่งที่เราให้คนอื่น แท้จริงแล้วคือของที่เราฝากให้แก่ตนเองในวันข้างหน้า
เช่น วันนี้เราด่าเขา วันข้างหน้าเราจะถูกเขาด่า
วันนี้เราโกงเขา วันข้างหน้าเราจะถูกเขาโกง
วันนี้เราเนรคุณเขา วันข้างหน้าเราจะถูกเขาเนรคุณ
๘. ความดีที่ทำไว้ในหมู่คนพาล ถึงมากมายมหาศาลก็สูญเปล่า
การทำสิ่งดี ๆ ให้แก่คนที่ไม่เห็นคุณค่า ก็ไม่ต่างอะไรกับการเทน้ำลงกองทราย
ถึงเทอย่างไรก็ซึมหายหมด ดังนั้นจะทำดีกับใคร ควรใช้ปัญญาคิดให้รอบคอบ
๙. การมีความสุขที่ก่อความทุกข์ให้คนอื่นนั้น ไม่ใช่ความสุขที่แท้
มันเป็นได้แค่ความสุขจากการเกาขอบแผลที่กำลังคัน
ยิ่งเกาดูเหมือนยิ่งสุข แต่แท้ที่จริงมันคือความทุกข์ที่แฝงมาอย่างแนบเนียน
๑๐. ดูข่าวการเมือง ยิ่งดูยิ่งวุ่นวาย ยิ่งดูยิ่งฟุ้งซ่าน
แต่หากกลับมาดูใจของตนอย่างมีสติ
รู้เท่าทันทุกเรื่องที่คิด ทุกจิตที่ทำ ทุกคำที่พูด ทุกครั้งที่เคลื่อนไหว
ความทุกข์มากมายจะดับลง ดูจิตวันละนิดจิตแจ่มใส
๑๑. น้ำขุ่นที่ใส่สารส้มลงไป น้ำที่ขุ่นนั้นก็ใสได้เหมือนกัน
ใจขุ่นหากใส่สารแห่งความรู้สึกตัวลงไป
ไม่นานเท่าไรใจนั้นก็แจ่มกระจ่างเหมือนกัน
น้ำขุ่นแก้ได้ฉันใด ใจขุ่นก็แก้ได้ฉันนั้น
๑๒. คนที่ทำงานผิดพลาด แล้วป่าวประกาศว่าเป็นความผิดของคนอื่น
คือคนที่มีแต่จะผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ส่วนคนที่ทำงานผิดพลาด แล้วลุกขึ้นมายอมรับอย่างองอาจเปิดเผย
คือคนที่ไม่มีโอกาสผิดพลาดซ้ำอีกเลยในชีวิต
๑๓. ความไม่ประมาทเป็นทางแห่งความไม่ตาย
ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย
ผู้ไม่ประมาทไม่มีวันตาย ผู้ประมาทไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายแล้ว
กวีบทนี้ทำให้พระเจ้าอโศกเปลี่ยนจากกษัตริย์ที่ดุร้ายมาเป็นชาวพุทธชั้นนำ
๑๔. คนไทยไปงานศพแทบทุกเย็น
โดยไม่เคยรู้สักนิดว่าวันหนึ่งตัวเราจะเป็นศพ
ดังนั้นเราควรฝึกไปงานศพตัวเองทุกวัน
ด้วยการบอกกับตัวเองว่า ความตายอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก
๑๕. อยากโชคดี ไม่ใช่ไปหาวิธีลอดท้องช้าง
แต่อยากโชคดี เริ่มกันที่การมีสติปัญญาในการดำเนินชีวิตประจำวัน
ขอเพียงมีปัญญา โชคดีก็ไหลเข้ามาไม่ขาดสาย
แต่ถ้าไร้ปัญญา โชคร้ายจะไหลเข้ามาเหมือนห่าฝน
๑๖. อ่านหนังสือเล่มนอกมากมาย
อาจทำให้รู้จักใครทั่วทั้งโลก แต่ไม่รู้วิธีดับทุกข์ในใจตัวเอง
ส่วนการอ่านหนังสือเล่มใน แม้ทำให้ไม่รู้จักใครอย่างกว้างขวาง
แต่นำไปสู่การรู้จักตนอย่างลึกซึ้ง ดับทุกข์ได้อย่างเด็ดขาด
๑๗. ในตัวเรามีทั้ง ๓ ฤดู
เมื่อความโกรธเข้าครอบงำจิต ใจร้อนเป็นไฟดั่งฤดูร้อน
เมื่อใดความโลภเข้าครอบงำอยากได้ จิตใจก็เพลิดเพลินเหมือนฤดูฝนเย็นฉ่ำ
เมื่อใดความหลงเข้าครอบงำจิตใจ ก็มืดมนไหวสะท้านเหมือนเดินอยู่กลางฤดูหนาว
๑๘. แม้ประตูคุกปิดล็อกอย่างแน่นหนา แต่คนพาลมากมายทยอยสู่ที่คุมขัง
ความเลวร้ายประดาในชีวิตเรา ไม่ได้เกิดจากมือที่มองไม่เห็นดลบันดาลให้เป็นไป
แต่เกิดจากตัวเราพาตัวเข้าไปแส่หาด้วยความขลาดเขลาเบาปัญญาทั้งสิ้น
๑๙. ชีวิตแสนสั้นอยู่กันไม่นานก็ลาจาก
ชีวิตเหมือนน้ำค้างสดใสในยามเช้า พอยามสายก็หายไป
ชีวิตเหมือนพยับแดด มองไกล ๆ เหมือนมีตัวตนน่าสนใจ
แต่พอเข้าไปใกล้กลับเหมือนแต่ความว่างเปล่า
๒๐. นิ้วทั้ง ๕ ไม่เท่ากันฉันใด ความสามารถของแต่ละคนมีไม่เท่ากันฉันนั้น
ธรรมชาติต้องการสอนให้เราอยู่ร่วมกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย
บางสิ่งที่เขาขาด เราอาจมี บางสิ่งที่เขาดี เราอาจด้อย
เราเกิดมาเพื่อเติมเต็มกันและกัน
๒๑. ในใจเรามีทั้งตัวสร้างและตัวเสื่อม
ตัวสร้างคือธรรมมะ ตัวเสื่อมคือกิเลส
เวลาอยากทำอะไรดี ๆ นั่นคือบทบาทของตัวสร้าง
แต่ในขณะที่เราอยากทำดีกลับรู้สึกว่าไม่ควรจะทำ นั่นคือบทบาทของตัวเสื่อม
๒๒. วิกฤตมีเพื่อพิสูจน์ปัญญา ปัญหามีเพื่อพิสูจน์ความสามารถ
สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตเราล้วนมีความหมาย ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นมาอย่างว่างเปล่า
ถ้าใช้ปัญญาพิจารณาอย่างลึกซึ้ง จะเห็นคุณค่าของทุกสิ่งที่เข้ามาในชีวิต
๒๓. น้ำที่ไหลแรงที่สุดคือน้ำใจ
น้ำใจที่ปรารถนาจะช่วยคน ทำให้คนจำนวนมาก
ข้ามน้ำข้ามทะเลไปช่วยเพื่อนมนุษย์ที่ตกยากได้อย่างไม่กลัวเหนื่อยล้า
พรมแดนของประเทศก็ไม่สามารถขัดขวางน้ำใจคน
๒๔. ไฟจากเตาเผาไหม้มีแค่บางเวลา แต่ไฟกิเลสเผาไหม้อยู่ในใจตลอดเวลา
ไฟที่ร้ายแรงที่สุดจึงเป็นไฟแห่งกิเลส
กล้องที่ส่องได้ไกลที่สุดคือ กล้องปัญญา
ที่ส่องทะลุทะลวงไปถึงอดีต ปัจจุบัน และ อนาคต
๒๕. นัยอันลึกล้ำของคำว่าขอบคุณ
ขอบคุณความไม่มี ที่ทำให้รู้วิธีลุกขึ้นสู้
ขอบคุณความยากจน ที่ทำให้เป็นคนมุมานะ
ขอบคุณความล้มเหลว ที่ทำให้เกิดความเชี่ยวชาญ
๒๖. คนที่ปล่อยตัวปล่อยใจให้ตกเป็นทาสของความโกรธ
ต่อให้นอนบนเตียงราคาแพงลิบลิ่ว ปูด้วยพรมขนสัตว์ที่มีลวดลายบุปผชาติประดับไปทั้งผืน
ก็ไม่อาจทำให้หลับตาลงอย่างเป็นสุขได้เลย ตลอดรัตติกาลอันยาวนาน
๒๗. นัยอันลึกล้ำของคำว่าขอบคุณ
ขอบคุณความผิดพลาด ที่ทำให้ฉลาดยิ่งกว่าเดิม
ขอบคุณความริษยา ที่ทำให้กล้าสร้างสรรค์สิ่งใหม่
ขอบคุณคำวิพากษ์วิจารณ์ ที่ทำให้ผลิบานอย่างไร้ข้อตำหนิ
๒๘. แก้วที่คว่ำอยู่กลางสายฝน ต่อให้ฝนตกกระหน่ำทั้งคืนก็ไม่อาจเต็มไปด้วยน้ำ
คนที่ไม่ยอมเปิดใจเรียนรู้ ต่อให้คลุกคลีอยู่กับนักปราชญ์ทั้งคืน ก็ยังคงโง่เท่าเดิม
๒๙. นัยอันลึกล้ำของคำว่าขอบคุณ
ขอบคุณความไม่รู้ ที่ทำให้รู้จักครูที่ชื่อประสบการณ์
ขอบคุณความผิดหวัง ที่ทำให้ตั้งสติเพื่อลุกขึ้นใหม่
ขอบคุณศัตรูที่แกร่งกล้า ที่ทำให้รู้ว่าเรายังไม่ใช่มืออาชีพ
๓๐. อยู่ให้คนเขารัก จากไปให้คนเขาอาลัย ล่วงลับไปให้คนเอ่ยอ้างถึง
อยู่ให้คนรัก คืออยู่อย่างผู้ให้
จากไปให้คนอาลัย คือก่อนจาก สร้างสรรค์แต่สิ่งมีคุณค่า
ล่วงลับไปให้คนระลึกถึง คือเวลามีชีวิต ทำแต่คุณงามความดีจนเป็นที่จดจำ