ยอดกัลยาณมิตรของโลก

ยอดกัลยาณมิตรของโลก

ทุกชีวิตที่เกิดมาในโลกนี้ ล้วนต้องการกัลยาณมิตรคอยชี้แนะวิธีการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง เพราะกัลยาณมิตรเป็นทั้งหมดของชีวิตที่สมบูรณ์ และเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์ ที่คอยชี้ทางสว่างให้แก่ชาวโลก โลกจะมืดมิดหรือสว่างไสวเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับกัลยาณมิตร  เพราะฉะนั้น เราต้องเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม กับการที่จะทำหน้าที่ยอดกัลยาณมิตรให้กับทั้งตนเอง และแก่ชาวโลก โดยเฉพาะในด้านจิตใจ เราต้องหมั่นทำสมาธิเจริญภาวนา ให้เข้าถึงพระธรรมกายภายในให้ได้ เพื่อเราจะได้เป็นผู้นำบุญยอดกัลยาณมิตรที่สมบูรณ์

มีพุทธพจน์ใน บัณฑิตวรรค ธรรมบท ความว่า

 

“น ภเช ปาปเก มิตฺเต     น ภเช ปุริสาธเม
ภเชถ มิตฺเต กลฺยาเณ     ภเชถ ปุริสุตฺตเม

 

บุคคลผู้มีปัญญาไม่พึงคบพวกปาปมิตร ไม่พึงคบพวกบุรุษต่ำทราม พึงคบกัลยาณมิตร พึงคบบุรุษสูงสุด”

 

โลกเราจะเป็นอย่างไรนั้น ไม่ได้อยู่ที่สภาพดินอากาศฟ้า หรืออยู่ที่สภาพแวดล้อมแต่อย่างใด ที่แท้โลกจะมืดหรือจะสว่าง ขึ้นอยู่กับกัลยาณมิตรเท่านั้น เพราะเป็นความสว่างด้วยแสงแห่งธรรม กัลยาณมิตร คือ ผู้นำในการทำความดีทุกรูปเเบบ เป็นผู้ที่นำแสงแห่งพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปส่องสว่างในใจของชาวโลก ใจของสรรพสัตว์ที่ยังตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ทรมาน ย่อมจะได้รับอิสรภาพ ได้รับการปลดปล่อย ให้เป็นใจที่เปี่ยมสุขและบริสุทธิ์ดังเดิม


มหาเศรษฐีทุกคนในโลกนี้ ถึงแม้เขาจะมีครบทุกอย่างบริบูรณ์ แต่เศรษฐีเหล่านั้นหารู้ไม่ว่า เขาขาดสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากในชีวิต สิ่งนั้นคือวิธีการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องสมบูรณ์ ในเส้นทางของพระอริยเจ้า ซึ่งต้องอาศัยกัลยาณมิตรนั่นเอง เหมือนอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นยอดกัลยาณมิตรของโลก ได้เป็นกัลยาณมิตรให้กับเศรษฐีหนุ่มท่านหนึ่ง จนท่านได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์รูปหนึ่งในพระพุทธศาสนา

 

เศรษฐีท่านนี้ เคยบำเพ็ญกุศลในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ มาหลายพระองค์ อย่างเช่นในสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า สุเมธะ ท่านได้เป็นนาคราชผู้มีอานุภาพมาก ได้นิมนต์ภิกษุสงฆ์ซึ่งมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขไปยังภพของตน และได้ถวายมหาทานในนาคพิภพ โดยได้ถวายไตรจีวรที่มีค่ามากแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า และเครื่องสมณบริขารอันประณีตแด่พระภิกษุทุกรูป ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านได้ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก

 

ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า สิทธัตถะ ท่านได้เกิดเป็นบุตรเศรษฐี ได้นำรัตนะ ๗ ประการ ไปบูชารอบต้นมหาโพธิ์ ต่อมาในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า กัสสปะ ท่านได้ออกบวชในพระพุทธศาสนา ได้บำเพ็ญสมณธรรม ด้วยการประพฤติพรหมจรรย์อย่างนี้ ทำให้ท่านได้ท่องเที่ยวไปเฉพาะสุคติภูมิเท่านั้น

 

* เมื่อมาในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา ท่านได้มาบังเกิดเป็นบุตรของเศรษฐีในกรุงพาราณสี มีมารดาชื่อว่า สุชาดา ผู้ถวายข้าวปายาสผสมน้ำนมแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านมีชื่อว่า ยสะ และความที่ท่านเป็นสุขุมาลชาติละเอียดอ่อน จึงมีสมบัติทุกอย่างสมบูรณ์หมด มีปราสาท ๓ หลัง ตามฤดูทั้งสาม คือ ฤดูหนาว ฤดูร้อน และฤดูฝน  เมื่อถึงฤดูใด ท่านจะเข้าเสวยสุขในปราสาทหลังนั้นๆ โดยมีนักดนตรีที่เป็นสตรีล้วนคอยบำเรอ และท่านไม่เคยลงมายังพื้นปราสาทชั้นล่างเลย ตลอดฤดูหนาว และฤดูฝน ด้วยความที่ฝ่ามือ และเท้าของท่านละเอียดอ่อน บิดามารดาจึงต้องปูลาดพื้นด้วยปุยนุ่น และพรมอันอ่อนนุ่ม

 

วันหนึ่ง  เมื่อท่านถูกบำเรอขับกล่อมด้วยเบญจกามคุณ แล้วผล็อยหลับไป เมื่อตื่นขึ้นมาเห็นเหล่าบริวารที่กำลังนอนหลับไหลเกลื่อนกลาดไม่ได้สติ แสดงอาการวิกลวิการไปต่างๆ นานา ประดุจซากศพที่ทิ้งในป่าช้าไม่เป็นที่ยินดีเหมือนแต่ก่อน ทำให้ท่านสังเวชใจถึงกับเปล่งอุทานว่า ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ พลางสวมรองเท้าทองคำเดินออกจากปราสาทไปทันที

 

ท่านเดินมุ่งไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เดินไปก็อุทานไปว่า “ผู้เจริญทั้งหลาย ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ” ขณะนั้นเป็นเวลาเช้ามืด ซึ่งเป็นช่วงที่พระผู้มีพระภาคเจ้ากำลังเสด็จจงกรมอยู่ พระองค์ทอดพระเนตรเห็นยสกุลบุตรแต่ไกล  จึงเสด็จไปนั่งบนบัญญัตตาอาสน์พลางตรัสว่า 

 

“ยสะ ที่นี่แลไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง เธอจงมานั่งเถิด เราจักแสดงธรรมให้เธอฟัง”  ทันทีที่ได้ยินพระสุรเสียง ยสกุลบุตรปีติยินดียิ่งนัก รีบถอดรองเท้าเข้าไปถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า และนั่งในที่สมควร จากนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอนุปุพพิกถา และอริยสัจ ๔  ทำให้ยสกุลบุตรมีดวงตาเห็นธรรม ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันในขณะนั้นเอง

 

รุ่งเช้านางสุชาดาได้ไปหาบุตรชายที่ปราสาท  เมื่อไม่พบก็ไปบอกท่านเศรษฐี ท่านเศรษฐีจึงส่งบริวารให้ค้นหาทั้ง ๔ ทิศ ส่วนตัวของท่านเองรีบเข้าไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ท่านพบรองเท้าทองคำของบุตรชายที่ถอดไว้ จึงเข้าไปทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์เห็นยสกุลบุตรมาทางนี้บ้างไหม” พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ท่านคฤหบดี เชิญนั่งก่อน  เมื่อท่านนั่งแล้ว ก็จะพึงได้เห็นยสกุลบุตรในที่นี้” ซึ่งขณะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ใช้ฤทธิ์ ทำให้เศรษฐีมองไม่เห็นบุตรชายของตน ซึ่งกำลังนั่งอยู่ในที่นั้นนั่นเอง

 

เศรษฐีก็คิดว่า  เมื่อเรานั่งในที่นี้ก็จะได้เห็นบุตร จึงร่าเริงยินดี ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า และนั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง จากนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอนุปุพพิกถาแก่เศรษฐี ทำให้ท่านเศรษฐีเป็นผู้มีความเชื่อในคำสั่งสอนของพระศาสดาโดยมิต้องอาศัยผู้อื่น ท่านได้กราบทูลว่า

 

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือจุดประทีปให้ส่องสว่างในที่มืด รูปทั้งหลายย่อมปรากฏแก่คนนัยน์ตาดี ฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ฉันนั้น ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจำข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสกตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้าพระองค์ขอถึงสรณะทั้งสามจนตลอดชีวิต” ด้วยการปฏิญาณนี้ ทำให้ท่านเศรษฐีได้เป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะทั้งสามเป็นคนแรกในโลก

 

ในขณะที่พระศาสดาทรงแสดงธรรมแก่ท่านเศรษฐีนั้น ยสกุลบุตรได้พิจารณาถึงภูมิธรรมตามที่ตนเห็น ตามที่ตนรู้ ทำให้จิตหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในที่สุด จากนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงระงับอิทธาภิสังขาร ทำให้ท่านเศรษฐีมองเห็นบุตรของตน และได้กล่าวกับยสกุลบุตรว่า  “พ่อยสะ มารดาของเจ้ากำลังประสบความเศร้าโศกปริเทวนาการ เจ้าจงให้ชีวิตแก่มารดาของเจ้าเถิด

 

ยสกุลบุตรแลดูพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ได้ตรัสตอบท่านเศรษฐีว่า “ท่านคฤหบดี ท่านสำคัญยสกุลบุตรอย่างไร ธรรมที่ยสกุลบุตรได้รู้แล้วเห็นแล้วด้วยเสขญาณ ด้วยเสขทัสสนะ  เมื่อยสกุลบุตรได้พิจารณาถึงภูมิธรรมตามที่ตนรู้แล้วเห็นแล้ว จิตก็หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เขาเป็นผู้สมควรเพื่อจะเวียนมาเพื่อความเป็นผู้ครองเรือน เพื่อบริโภคกามคุณเหมือนคนครองเรือนทั่วๆ ไปอย่างนั้นหรือ”

 

ท่านเศรษฐีกราบทูลว่า “มิใช่อย่างนั้นพระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เป็นลาภของบุตรของข้าพระองค์แล้วหนอ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ยสกุลบุตรได้ดีแล้วหนอ จิตของยสะหลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงอนุเคราะห์ยสะตามแต่สมควรเถิด” จากนั้นพระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้ท่านยสะได้บวชแบบเอหิภิกขุอุปสัมปทา เป็นภิกษุอรหันต์รูปหนึ่งในพระพุทธศาสนา

 

เราจะเห็นได้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุดของชาวโลก และเป็นยอดกัลยาณมิตร ที่ไม่มีกัลยาณมิตรใดในโลกนี้เสมอเหมือน ท่านได้เป็นที่พึ่งแก่ชาวโลกผู้ขัดข้อง ดังในเรื่องราวของพระยสเถระ ที่ชีวิตพบกับความวุ่นวาย ความขัดข้องหมองใจ พระพุทธองค์ได้ทำหน้าที่ของยอดกัลยาณมิตรโปรดพระยสะ และบิดาให้มีดวงตาเห็นธรรม เราก็เช่นเดียวกัน ต้องทำให้ได้เหมือนอย่างที่พระพุทธองค์ทรงทำมาแล้ว ช่วยกันขยายธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปสู่ชาวโลก เราต้องมีหัวใจประดุจพระบรมโพธิสัตว์ นำวิชชาธรรมกายไปสู่ใจของชาวโลกให้ได้ ในที่สุดชาวโลกย่อมจะสมปรารถนามีดวงตาเห็นธรรมกันทุกๆ คน




พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)

 

* มก. อรรถกถายสเถราปทาน เล่ม ๗๒ หน้า ๔๒๐

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์