คิดสุข ทุกข์จาง

คิดสุข ทุกข์จาง



ความสุขและความทุกข์ของคนเรา อยู่ที่การเลือกที่จะรับรู้

ใจเราเป็นทุกข์เพราะเราเลือกที่จะรับรู้ในด้านที่ไม่ดี ด้านที่ไม่สดใส แต่เราลืมนึกไปว่ายังมีอีกด้านหนึ่งที่ควรค่าแก่การมองเช่นเดียวกัน

ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะคนเรามักเลือกมองในสิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ หรือสิ่งที่ไม่สร้างสรรค์ต่อชีวิตของเรา เพราะเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เป็นอุปสรรค หรือเป็นสิ่งที่ขัดขวางไม่ให้เราเดินไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ได้

แต่เราลืมนึกไปว่า สิ่งเหล่านั้นอาจเกิดขึ้นจากปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้ก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องถูกทำลายไปด้วย เพราะท้ายที่สุดแล้วตัวที่ทำลายความรู้สึกต่างๆ ของเรา ไม่ใช่ปัจจัยเหล่านั้น แต่เป็นตัวเราเองต่างหากที่คิดย้ำหรือมุ่งความสนใจไปกับความรู้สึกที่ไม่ดีต่อสิ่งที่เกิดขึ้น

เพราะฉะนั้นถ้าเราสามารถปรับเปลี่ยนมุมมองของเราหรือเลือกที่จะมองในสิ่งที่ควรมอง แทนที่การมองในสิ่งที่บั่นทอนจิตใจหรือความรู้สึกเราได้ เมื่อนั้นเราก็จะมีความสุขกับชีวิตของเรามากขึ้น

ตัวอย่างง่ายๆ ที่เราทำได้ เช่น มีคนขับรถปาดหน้าเราหรือแซงเรา แน่นอนว่าเราอาจโกรธ แต่เราเปลี่ยนมุมมองที่เลือกมองเสียใหม่ แทนที่จะคิดว่า ทำไมคนๆ นี้ถึงนิสัยไม่ดี หรือทำอะไรที่ไม่เข้าท่า เป็น "เขาคงมีธุระจำเป็นที่จะต้องไป ให้เขาไปเถอะ" หรือ คนบางคนชอบพูดจาไม่ดีกับเรา เราอาจรู้สึกแย่ และคิดว่า "ทำไมคนๆ นี้ถึงไม่รู้จักมารยาทหรือหัดพูดจาดีๆกับคนอื่นเสียบ้าง" เราก็เปลี่ยนความคิดเสียใหม่เป็น "การพูดในโลกนี้มีหลายแบบ นี่ก็เป็นอีกลักษณะหนึ่งที่ช่วยทำให้เราเปิดโลกทัศน์เรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ มากขึ้น"

การเปลี่ยนมุมมอง หรือพยายามหามุมมองที่เราควรเลือกมองนั้นไม่ได้หมายความว่า เรากำลังหลอกตัวเองอยู่ แต่เป็นวิธีการที่ช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้น เมื่อเรารู้สึกดีขึ้น เราก็จะมีความสุขมากขึ้น

เหมือนกับตัวอย่างของโทมัส เอดิสัน ครับ

ห้องทดลองของ โทมัส เอดิสัน ได้ถูกไฟไหม้ในช่วงเดือนธันวาคม ของปี ค.ศ. 1914 ถึงแม้ว่ามูลค่าความเสียหายจะสูงถึง 2 ล้านเหรียญก็ตาม แต่ตัวอาคารก็ได้รับเงินประกันเพียงแค่ 238,000 เหรียญเท่านั้น ทั้งนี้เพราะตัวตึกทำมาจากคอนกรีต ที่ทำให้คิดว่าน่าจะป้องกันไฟได้เป็นอย่างดี

ผลงานส่วนใหญ่ของ โทมัส เอดิสัน ได้รับความเสียหาย และมอดไหม้ไปในกองเพลิงในคืนนั้น ในช่วงที่ไฟกำลังลุกโชนอยู่นั้น ชาลี ลูกชายวัย 24 ของ เอดิสัน ได้พยายามค้นหาพ่อของตนภายใต้กลุ่มควันที่พวยพุ่งและซากปรักหักพังที่ร่วงหล่นลงมา

ในท้ายที่สุด ชาลีก็ได้พบกับพ่อของตน ที่กำลังยืนมองดูไฟที่ลุกโหมอย่างหนัก

ในเสี้ยววินาทีนั้น ชาลีรู้สึกว่า ตนเองเจ็บปวดรวดร้าวเหลือเกินกับสิ่งที่พ่อของตนได้รับ เพราะว่า เอดิสันในขณะนั้นอายุอานามก็ปาเข้าไป 67 ปีแล้ว และผลงานสิ่งประดิษฐ์ต่างๆก็มอดไหม้ไปในกองเพลิงทั้งหมด แต่เมื่อ เอดิสันเห็นลูกของตนเท่านั้น ก็ได้เอ่ย ขึ้นว่า "ชาลี แม่ของแกอยู่ที่ไหน" และเมื่อชาลีบอกว่า ตนเองไม่รู้ว่าแม่อยู่ที่ไหน เอดิสันก็บอกให้ชาลีรีบไปตามแม่ของตนมา พร้อมทั้งพูดว่า "รีบไปตามแม่มา เธอคงไม่เคยได้เห็นอะไรแบบนี้ตราบนานเท่านานที่เธอมีชีวิตอยู่ในบ้านหลังนี้"

รุ่งเช้าหลังจากเหตุการณ์ไฟไหม้ได้สงบลง เอดิสันได้มองดูซากปรักหักพังและพูดขึ้นว่า "นี่เป็นคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ ในหายนะที่เกิดขึ้น เพราะว่าความผิดพลาดที่เราได้ทำไว้ ถูกเผาไหม้ไปหมดเรียบร้อยแล้ว ขอบคุณพระเจ้าที่ช่วยให้เราได้เริ่มต้นใหม่"

หลังจากเหตุการณ์ไฟไหม้ได้ประมาณ 3 สัปดาห์ เอดิสันก็ได้ประดิษฐ์ หีบเพลงเครื่องแรกของโลกได้สำเร็จ

จากเรื่องที่นำมาเล่าให้ท่านได้อ่าน สะท้อนให้เห็นว่า ไม่ว่าเราจะเผชิญกับความโหดร้าย ปัญหาหรืออุปสรรคอะไรก็ตาม ถ้าเราเลือกมองในสิ่งที่เรามองแล้วสบายใจ ความสุขก็เกิดขึ้นได้ไม่ยาก

แต่ถ้าเรามัวแต่มุ่งไปที่ปัญหา ฟูมฟายกับสิ่งที่เกิดขึ้น เศร้าเสียใจ โอกาสที่เราจะกลับมาเริ่มใหม่ก็ยากครับ สภาวะทางจิตของเราก็จะค่อยๆ จมหายไปเรื่อยๆ มีแต่ความทุกข์เข้ามาแทนที่ แล้วชีวิตที่เหลือจะอยู่ได้อย่างไรกัน

"You can't direct the wind, but you can adjust the sail."
"เราบังคับทิศทางลมไม่ได้ แต่เราปรับเปลี่ยนใบเรือได้"

...ความสุขของเราขึ้นอยู่กับว่าเราจะปรับเปลี่ยนตัวเราให้เข้ากับสภาพที่เป็นอยู่ได้ดีมากน้อยแค่ไหน ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆที่อยู่แวดล้อมตัวเรา เพราะนั่นคือสาเหตุที่ทำให้เราไม่มีความสุขอย่างแท้จริง...



บางส่วนจากหนังสือ " คิดสุข ทุกข์จาง Slim Up Your Life "
บทความจาก ทำดีดอทเนต


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์