ทำจิตให้วิเวกจากสิ่งรบกวน
ขอให้เข้าใจในแง่สุขภาพทางจิตด้วย เพราะเดี๋ยวนี้เป็นโรคประสาทมากขึ้น เป็นบ้ามากขึ้น ฆ่าตัวตาย เพราะไม่รู้จักอิสระ เสรีภาพ จากสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นตั้งใจ อธิษฐานใจในการมีวิเวกเพิ่มขึ้น หาโอกาสชิมรสวิเวกบ้าง พอนั่งสมาธิพอสมควร มันจะมีวิเวก ให้หาโอกาสชิม แล้วมันจะพอใจ เป็นการเปิดหนทางไปวิเวก คือ นิพพาน
วิเวก เป็นคำไวพจน์ คือชื่อแทนของนิพพานที่วิเวกจากอุปธิ เมื่อวิเวกทางอุปธิ ย่อมวิเวกทางกาย และจิต เป็นธรรมดา แต่ทีเขาพูดไว้ตั้งแต่ต้นเป็นสามเรื่องมานี้คือ กายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก เขาไว้พูดกับคนโง่ อาตมาชอบพูดตรงๆอย่างนี้ ใครจะโกรธก็ตามใจ จะพูดแต่อุปธิวิเวก มันจะฟังถูกเฉพาะผู้มีปัญญา ที่จะเป็นพระอรหันต์เท่านั้น เพราะว่าถ้าอุปธิวิเวกได้อย่างเดียว ทั้งสองอย่างนั้นได้หมด ใครจะมารบกวนอย่างไร ก็ไม่รู้ไม่ชี้ เพราะมันไม่มีตัวกู ไม่มีการยึดมั่น ตัวกูของกู จิตมันไม่ยึดถืออย่างนั้น ความรัก ความโกรธ ความหลง อาลัยอาวรณ์ ไม่มารบกวนได้ จะให้ใครมาด่า มาตบหน้า มันก็วิเวกอยู่อย่างนั้นแหละ มันไม่มีตัวกูที่จะออกมารับการด่า การตบหน้านั้น มันสามารถปฏิบัติได้สูงสุด ที่เรียกว่า ขันติ หรือ ลืม คือไม่นึกถึงตัวกู ไม่ให้ตัวกูเกิด ลืมตัว แต่ลืมตัวอย่างนี้มีประโยชน์ ไม่ยินดียินร้าย ไม่รับโกรธ เกลียด กลัว ไม่บวกไม่ลบ ไม่ใช่ลืมตัวให้เกิดกิเลส
อย่างบางคนว่า นั่งมาในรถไฟ ทำสมาธิไม่ได้ อาตมาว่าไม่จริง ถ้ามารถลืมตัวได้ มันก็ทำได้ ไมรู้ ไม่ชี้ ไม่ฟัง ไม่ได้ยิน ทั้งๆที่มีเสียงกึกก้อง เสียงล้อรถบดราง รู้แต่เรื่องลมหายใจเข้าออก มันก็ทำสมาธิได้ มันจึงมีวิเวกได้ถ้าต้องการ เมื่อไม่ไปใส่ใจ ไม่รับเป็นอารมณ์ เดี๋ยวนี้มันรับเป็นอารมณ์ ไม่มีใครด่า ก็คิดว่าเขาด่า เขาคิดร้าย อย่างนี้จะวิเวกได้อย่างไร จงพยายามที่ปลดเปลื้องมาจากตัวกูของกู ใครจะทำอะไรก็ไม่รู้ไม่ชี้บ้าง ถ้าแผ่เมตตาให้ไปเสีย มันก็จะไม่ระแวง มันจะว่างมากขึ้น ฉะนั้นให้รู้ว่า แผ่เมตตา กรุณา มุทีตา อุเบกขา มันดี เป็นสุข ตื่นก็เป็นสุข นอนก็เป็นสุข มันก็เหมือนวิเวกชนิดหนึ่ง พอคุณแผ่เมตตา มันก็ว่างจากศัตรู แม้มันจะมีคนคิดอยู่ก็ช่างหัวมัน ขอใช้คำหยาบคายหน่อยว่า ช่างหัวแม่มัน ฉันมีความรักเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ต้องขุ่นมัว ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่สัตบุรุษชอบกัน แต่คนสมัยนี้หาว่า ครึคระ บ้าบอ คนที่ว่าอย่างนี้ไม่นานก็ประสาท บ้า ตาย เพราะไม่รู้จักทำจิตให้วิเวกจากสิ่งรบกวน
คุณจะคิดไหมว่า พูดอย่างนี้จะเป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปี ซึ่งคนโบราณเขาชอบ ที่จะวิเวก ขอร้องว่าคิดให้ถูกต้อง มันเป็นเรื่องที่จะอยู่สดใส สมัยนี้โลกมันเจริญไปหมด วัตถุก็เจริญ โลกมันยุ่งไปหมด วุ่นวายไปหมด วิทยาศาสตร์เจริญขึ้น นักวิทยาศาสตร์ไม่ค้นคว้าหาทางเรื่องวิเวกบ้างเลย มีแต่ปรุงของใหม่ ทำของใหม่ วิเวกเป็นเครื่องป้องกัน เหมือนกับวัคซีนป้องกันทางจิตใจ ทางวิญาณ อยากจะบอกว่า ถ้าคุณได้ความรู้เหล่านี้มาบ้างการบวชของคุณ สองสามเดือน ก็จะมีอานิสงค์มหาศาล ถึงไม่สึก ก็จะมีวัตถุมารบกวน ฉะนั้น ทั้งคนลาและไม่ลาสิกขา ให้หาเครื่องป้องกันอันตราย ที่จะมากับความเจริญทางวัตถุของโลกยุคนี้ เกิดวัตถุที่มีรสอร่อยยิ่งๆขึ้นไป เพลิดเพลิน ชักจิต ในด้านกามารมณ์ทั้งนั้น ไม่ได้เป็นสิ่งประโลมใจในด้านธรรมะเลย อาตมากล้าท้าเลยว่า ถ้าควบคุมความเจริญเหล่านี้ไว้ไม่ได้ ก็คือความวินาศของโลก วินาศยิ่งกว่าระเบิดปรมาณูเสียอีก มันทำลายหมด ทั้งทางวัตถุ และทางจิตใจ แต่อันนี้มันจะช่วยได้ ในการรู้ของจิต ควบคุมจิตไว้ไม่ยินดียินร้าย ไม่บวกไม่ลบ แม้ว่าตายลงก็ไม่เป็นทุกข์ และก็ไม่เป็นทุกข์ล่วงหน้า เหมือนที่เขาเป็นๆกันอยู่ ดูให้ดีว่าอะไรมันน่ากลัวที่สุด เดี๋ยวนี้เขากลัวโรคเอดส์ มันเป็นแค่เด็กอมมือ น่ากลัวกว่านั้นก็ไม่สนใจ
ถ้าสิ้นราคะก็วิเวกจากราคะ ถ้าสิ้นโทสะก็วิเวกจากโทสะ ถ้าสิ้นโมหะก็วิเวกจากโมหะ มันไม่อะไรอีกแล้ว มันสูงสุดเท่านั้น คนดีเลิศที่เกิดมา ไม่มีอะไรดีไปกว่านั้น หมดจากราคะ โทสะ โมหะ ไม่มีอะไรมารบกวน มันก็วิเวกหมดเลย ได้รับผลสูงสุดที่ไม่มีอะไรยิ่งกว่า คือนิพพาน ให้รู้ว่าวิเวก ไม่มีอะไรมารบกวน ชั่ว หรือดีก็ไม่รบกวน เดี๋ยวนี้บูชาเนื้อหนังกันอยู่ ดีที่ได้ กามารมณ์ที่ได้ มันน่าสงสารเด็กๆ วัยรุ่น หนุ่มสาว ที่ไม่รู้จะบูชาอะไร นอกจากเรื่องกามารมณ์ มันก็จะได้รับบทเรียนที่แสบเผ็ด เมื่อรู้แล้วก็ไม่รู้ว่าจะรู้ทันไหม เลิกทันไหม ถ้าจะสอนกันเนิ่นๆก็จะเป็นการดี ไม่เจ็บปวดมากนัก ดังนั้นเรื่องวิเวกของคนแก่ ก็ยังมีประโยชน์ ไม่ใช่แค่เรียนปริญญายาวเป็นหาง ถ้าไม่มีวิเวกบ้าง มันก็เป็นบ้าโดยไม่ต้องสงสัย ขอให้รู้ว่าเรื่องสูงสุดของพระพุทธศาสนามันอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่เรื่องบ้าบออะไร เป็นเรื่องที่จะเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกได้ เป็นความลับอันสุดซึ้ง ของธรรมชาติ ถ้ามันไม่วิเวกคืออิสระจากสิ่งเหล่านี้มันคือทุกข์ พระพุทธเจ้าเป็นผู้ค้นพบอันนี้ กฎอันนี้ ท่านไม่ได้ตั้งขึ้นมา เป็นของธรรมชาติ ขอให้รู้ว่าพระพุทธศาสนาของเราเป็นอย่างนี้ ศาสนาอื่นเขาว่า พระเจ้าเป็นผู้บัญญัติ ตามใจเขา แต่พุทธเรา พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ มันเป็นความจริง มีอยู่ในธรรมชาติ ทรงค้นพบ แล้วนำมาเปิดเผยให้สัตว์โลกรู้และดับทุกข์ได้ เป็นธรรมธาตุ คือ แม้ตถาคตจะเกิด หรือไม่เกิด มันเป็นธรรมชาติที่มีอยู่ เป็นกฎอิคะปัจญตา คือธรรมชาติที่มีอยู่
ถ้าไม่มีอะไรปรุงแต่งก็จะไม่เกิดอะไรขึ้นมา ถ้ามีการปรุงแต่ง มันเกิดอวิชชา หรือความโง่ขึ้นมา มันเกิดทุกข์ ขอให้รู้ ที่กลุ้มหัวใจอยู่ทั้งวันนั่น เป็นการปรุงแต่งของอวิชชา ความโง่ของตัวเอง อย่าไปโทษผีสาง เทวดา ที่ไหนเลย อวิชชา พวก ความรักโกรธ เกลียด พอมันรู้เท่าทัน ระงับได้ มันก็วิเวก คือไม่มีอะไรมารบกวน สงบ เยือกเย็น เป็นอย่างยิ่ง หรือที่เรียกว่า นิพพาน คือสิ่งเดียวกัน แม้จะเรียกกันคนละชื่อ วันนี้ขอโอกาสพูดเรื่องวิเวก ความสงัดจากสิ่งรบกวน วิเวกสูงสุด คือ จากความโง่ว่าตัวกูของกู แม้เป็นฆราวาส ก็ควรจะสนใจอย่างนี้ บรรพชิตก็ควรจะสนใจ มิฉะนั้นก็จะไม่ก้าวหน้าไปในทางแห่งพุทธศาสนา ออกไปเป็นฆราวาสอีก ก็จะไปเจอปัญหาเดิม จึงข้อร้อง อ้อนวอน วิงวอน ให้ทุกคนรู้จัก สนใจ และขอร้องอีกครั้งว่า จงพยายามมีกันเสียบ้าง จะมีกันเท่าไร โอกาสใดก็มีกันบ้าง เป็นวัคซีนกันโรคประสาท โรคบ้า ไม่ใช่เรื่องไดโนเสาร์ แต่จะนำไปใช้ในยุคปรมาณู ยุคอวกาศ จึงขอยุติการบรรยายไว้เพียงเท่านี้ ด้วยความสมควรแก่เวลาไว้เท่านี้
ท่านพุทธทาสภิกขุ
ที่มา http://www.vcharkarn.com/