"แผ่นดินไหวเป็นปรากฏการณ์การสั่นสะเทือน หรือเขย่าของพื้นผิวโลก เพื่อปรับตัวให้อยู่ในสภาวะสมดุล เกิดจากการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก ทำให้เกิดการเคลื่อนตัวของชั้นหินขนาดใหญ่เลื่อนเคลื่อนที่ หรือแตกหัก และเกิดการโอนถ่ายพลังงานศักย์ ผ่านในชั้นหินที่อยู่ติดกัน พลังงานศักย์นี้อยู่ในรูปเคลื่อนไหวสะเทือน จุดศูนย์กลางการเกิดแผ่นดินไหว มักเกิดตามรอยเลื่อน อยู่ในระดับความลึกต่างๆ ของผิวโลก เท่าที่เคยวัดได้ลึกสุดอยู่ในชั้นแมนเทิล ประมาณกันว่าในวันหนึ่งๆ จะเกิดแผ่นดินไหวประมาณ ๑,๐๐๐ ครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นแผ่นดินไหวที่มีการสั่นสะเทือนเพียงเบาๆ เท่านั้น คนทั่วไปไม่รู้สึก" นี่เป็นคำอธิบายเหตุแห่งแผ่นดินไหวของนักธรณีวิทยา
อย่างไรก็ตาม ในพุทธศาสนาก็มีคำอธิบายของเหตุแห่งแผ่นดินไหวเช่น กัน ทั้งนี้ พระมหาบูรณะ ชาตเมโธ (ป.ธ.๙) หัวหน้าฝ่ายคัมภีร์พุทธศาสตร์ มจร. และเจ้าอาวาสวัดฉิมทายกาวาส บางกอกน้อย กทม. บอกว่า ในมหาปรินิพพานสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐ ข้อที่ ๑๗๐ หน้า ๑๑๗ และภูมิจาลสูตร พระไตรปิฎกเล่ม ที่ ๒๓ ข้อที่ ๗๐ หน้า ๓๗๖-๓๗๘ โดยสรุป เหตุการณ์นี้พระพุทธเจ้าตรัสในวันที่ปลงมายุสังขาร ก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน ๓ เดือน ในคราวที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน เขตกรุงเวสาลี
เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงมีสติสัมปชัญญะ ทรงปลงพระชนมายุสังขารแล้ว ณ ปาวาลเจดีย์ ได้เกิดแผ่นดินไหว ครั้งใหญ่ น่าสะพรึงกลัว ขนพองสยองเกล้า ทั้งกลองทิพย์ก็ดังกึกก้อง พระอานนท์ จึงเข้าไปทูลถามพระพุทธเจ้า ถึงเหตุปัจจัยที่ทำให้แผ่นดินไหวอย่างรุนแรง พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เหตุปัจจัย ๘ ประการ คือ
๑.ดูกร อานนท์ มหาปฐพีนี้ตั้งอยู่บนน้ำ, น้ำตั้งอยู่บนลม, ลมตั้งอยู่บนอากาศ, สมัยที่ลมใหญ่พัด, เมื่อลมใหญ่พัดอยู่ ย่อมยังน้ำให้ไหว น้ำไหวแล้วย่อมยังแผ่นดินให้ไหว, อันนี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่หนึ่ง เพื่อให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ
๒.สมณะหรือพราหมณ์ผู้มี ฤทธิ์ ถึงความเป็นผู้ชำนาญในทางจิต, หรือว่าเทวดาผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก, เขาเจริญปฐวีสัญญาเพียงเล็กน้อย เจริญอาโปสัญญาอย่างแรงกล้า, เขาย่อมยังแผ่นดินนี้ให้สะเทือนสะท้านหวั่นไหวได้
๓.เมื่อใด พระโพธิสัตว์จุติจากชั้นดุสิต มีสติสัมปชัญญะลงสู่พระครรภ์พระมารดา
๔.เมื่อใด พระโพธิสัตว์มีสติสัมปชัญญะ ประสูติจากพระครรภ์พระมารดา หลาย
๕.เมื่อใด พระตถาคตตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
๖.เมื่อใด พระตถาคตให้อนุตรธรรมจักรเป็นไป
๗.เมื่อใด พระตถาคตมีพระสติสัมปชัญญะ ทรงปลงอายุ สังขาร
และ ๘.เมื่อใด พระตถาคตปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ
พร้อม กันนี้ พระมหาบูรณะ ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ลมกำเริบ หรือธาตุกำเริบ เป็นเรื่องของธรรมชาติ แผ่นดินหนา ๒ แสน ๔ หมื่นโยชน์ ลมชื่ออุกเขปะเกิดขึ้นแล้ว เมื่อจะพัดก็พัดเข้าไปตัดลมที่รองรับน้ำที่หนา ๙ แสน ๖ หมื่นโยชน์ น้ำซึ่งหนา ๔ แสน ๘ หมื่นโยชน์ ในอากาศก็จะตก เมื่อน้ำนั้นตกลงแผ่นดินก็ตก ลมก็จะอุ้มน้ำไว้อีกด้วยกำลังของตนเหมือนธัมกรกกรองรับน้ำไว้ ต่อจากนั้น น้ำก็สูงขึ้น เมื่อน้ำสูงขึ้น แผ่นดินก็สูงขึ้น น้ำกระเพื่อมก็ทำแผ่นดินให้ไหวอย่างนี้ การไหวตัวอย่างนี้ย่อมมีมาจนถึงทุกวันนี้ทีเดียว
คำ ว่า ลม หรือ ธาตุ เราอาจหมายถึง ส่วนประกอบที่เป็นก๊าช เป็นของเหลวที่อยู่ภายในโลก ที่เราเรียกในภาษาสมัยใหม่ แต่ในภาษาของพระพุทธเจ้า ท่านตรัสว่า แผ่นดินตั้งอยู่บนน้ำ น้ำตั้งอยู่บนลม ลมอาศัยอากาศ เมื่อลมพายุใหญ่พัด น้ำก็หวั่นไหว เมื่อน้ำไหวแผ่นดินก็ไหว ในทำนองเดียว เมื่อลมหรือก๊าชที่อยู่ภายในโลกที่รองรับแผ่นดินภายใน ไหวตัว แผ่นดินโลกก็เกิดการไหว ตามที่เราทราบแล้ว เพราะแผ่นดินไม่ได้เป็นแผ่นดินเดียวกัน เป็นแต่จรดกันอยู่เท่านั้น จึงเกิดการไหวง่าย
"สาเหตุที่แผ่นดินไหวง่าย ในปัจจุบันนั้นมาจากมนุษย์เป็นตัวการสำคัญที่สุด ที่ทำลายโลกทุกกระบวนการ ส่วนเทดาผู้มีฤทธิ์มีอานุภาพ ถ้าเทวดานั้นจะลงโทษมนุษย์ก็สามารถทำให้แผ่นไหวได้ หรือแม้ท่านผู้มีฤทธิ์ ตั้งจิตอธิษฐานแล้วก็ทำให้แผ่นดินไหวได้ ส่วนอีก ๖ ประการที่เหลือนั้นไม่เกิดขึ้นแล้วในยุคนี้ เพราะทุกครั้งที่เกิดแผ่นดินไหวจะสร้างความเดือดร้อนและเป็นมีอันตรายแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย หากเป็นผู้มีบุญมาเกิด การเกิดแผ่นดินไหวต้องไม่มีอันตรายแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย" พระมหาบูรณะ กล่าว
แผ่นดินไหวในพระคัมภีร์ไบเบิล
นอกจากนี้แล้ว ยังมีบันทึกเรื่องราวแผ่นดินไหวเมื่อ หลายพันปีก่อน ทั้งนี้ นายสรรค์สนธิ บุณโยทยาน ผู้เชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์ และผู้เขียนหนังสือ สุริยปฏิทินพันปี บอกว่า ในคัมภีร์เก่าแก่ของมนุษยชาติ พบว่ามีการกล่าวถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวในบันทึก ดังนี้ พระคัมภีร์ไบเบิลฉบับพันธสัญญาใหม่ (The New Testament) บท แม้ทธิว ๒๔ : ๗ กล่าวว่า "จะเกิดการลุกขึ้นต่อสู้กันระหว่างชนชาติและอาณาจักรต่างๆ เกิดความอดอยาก โรคภัยไข้เจ็บ และแผ่นดินไหวในสถานที่ต่างๆ"
ในยุคอาณาจักรโรมัน ก็มีแผ่นดินไหวที่ กรุงโรม บันทึกโดย คอเนียเลียส แทกซิตุส นักประวัติศาสตร์ และวุฒิสมาชิก ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ. ๕๖-ค.ศ. ๑๑๗ ได้บันทึกไว้ว่า "มีแผ่นดินไหวบ่อยครั้งที่กรุงโรม ทำให้บ้านช่องเสียหาย และเมืองใหญ่ๆ ๑๒ แห่ง ในดินแดนเอเซียก็พังพินาศ เพราะแผ่นดินไหว" ดินแดนเอเซียในที่นี้หมายถึงแถบตะวันออกกลางในปัจจุบัน เช่น ซีเรีย และยังมีบันทึกเพิ่มเติมอีกว่า ปี ค.ศ.๔๖ แผ่นดินไหวที่เกาะครีต ปี ค.ศ.๕๑ ที่กรุงโรม ปี ค.ศ.๕๓ ที่เมืองอาปาไมอา ปี ค.ศ. ๖๐ ที่เมืองลาโอดีเซีย และ ปี ค.ศ.๖๒ ที่เมืองแคมปาเนีย
สำนัก ข่าว บีบีซี ของอังกฤษ ตีข่าวเมื่อ วันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๔๔ ว่า นักธรณีวิทยาชาวอังกฤษชื่อ เกรแฮม แฮรีส ค้นพบต้นเหตุของการล่มสลายจมธรณีของเมืองเก่าแก่ตามพระคัมภีร์ไบเบิลฉบับ พันธสัญญาเดิม (The Old Testament) คือเมืองโชดอม และเมืองกอมโมรา ซึ่งเคยตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลเดทซี (Dead Sea) ปัจจุบันเป็นพรมแดนประเทศจอร์แดน ติดต่อกับประเทศอิสราเอล ตามพระคัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า
เมืองทั้งสองถูกถล่มด้วยไฟนรกจากการลง โทษของพระผู้เป็นเจ้า ท่านเกรมแฮมให้ความเห็นตามหลักวิชาธรณีวิทยาว่า เมืองคู่นี้ตั้งอยู่บนรอยเลื่อนของเปลือกโลกที่ชื่อว่า Dead Sea Fault และประสบกับแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงราว ๔,๕๐๐ ปี ที่แล้ว ส่วนไฟบรรลัยกัลป์ที่แผดเผาก็มาจากบ่อแก้สมีเทนขนาดใหญ่ที่อยู่ใต้เดทซีปะทุขึ้นมาขณะแผ่นดินไหว ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์จากหลายประเทศที่นับถือศาสนาคริตส์ กำลังพยายามค้นหาซากเมืองคู่นี้ โดยใช้เทคโนโลยีการสำรวจใต้น้ำ หากพบว่ามีเมืองดังกล่าวจริง ก็เป็นข้อพิสูจน์ข้อมูลของพระคัมภีร์ดังกล่าว
"ทุกครั้งที่เกิดแผ่นดินไหวจะสร้างความเดือดร้อนและเป็นมีอันตรายแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย หากเป็นผู้มีบุญมาเกิด การเกิดแผ่นดินไหวต้องไม่มีอันตรายแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย"
ที่มา http://board.palungjit.com/
หนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก
แผ่นดินไหวใน พระไตรปิฎก
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!