ให้อภัยตนเอง
คนทุกคนเคยทำทั้งดีและชั่ว ถูกและผิด ต่างกันอยู่ที่ว่า ใครจะทำฝ่ายไหนมากกว่ากัน เมื่อเราไม่ชอบใครคนใดคนหนึ่ง เรามักจะเห็นข้อบกพร่องของเขา และฝังใจอยู่กับข้อบกพร่องหรือสิ่งที่เราคิดว่าเขาทำไม่ดี ตราบใดที่เรายังรู้สึกไม่ดีต่อเขา เท่ากับว่าเรายึดติดในความคิดเดิม แม้ว่าสิ่งนั้นอาจจะผ่านพ้นไปแล้วเนิ่นนาน บางคนโกรธกันมานานนับสิบปี ความรู้สึกโกรธก็ยังไม่หายไป ทุกครั้งที่พบกัน ความรู้สึกที่ไม่ดีต่อกันก็ผุดขึ้นมาอีก เป็นความรู้สึกที่ทำร้ายจิตใจตนเองเป็นเบื้องต้น และทำลายโอกาสของความสัมพันธ์อันดีตามมา
คนแต่ละคนแสดงพฤติกรรมออกมาตามคุณสมบัติของกายและจิตของเขาในแต่ละขณะ เช่น หากร่างกายไม่สบาย สีหน้าท่าทางก็ย่อมไม่สบายตามไปด้วย แม้คำพูดก็อาจจะไม่นุ่มนวลชวนฟังเหมือนยามปกติ ทางด้านจิตใจนั้น ยามใดที่มีความรู้สึกโกรธ เกลียดชัง หรือมีความคิดไม่ดี คำพูดก็ย่อมไม่ดีเช่นกัน คุณสมบัติหรือคุณภาพของร่างกายและจิตใจของคนเปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ ดังนั้นพฤติกรรมทางกายและวาจาของแต่ละคนจึงเปลี่ยนแปลงไปด้วย การที่เรายึดถือเอาพฤติกรรมของใครคนใดคนหนึ่งมาเป็นตัวตัดสิน ว่าเขาจะต้องเป็นเช่นนั้นตลอดไป จึงเป็นการตัดสินที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ทำให้เกิดอคติหรือมีใจไม่เที่ยงธรรม เช่น รักใคร ชอบใคร ก็เข้าข้างเขาว่าเขาเป็นคนดี เขาทำถูก เกลียดใคร โกรธใคร ก็หาว่าเขาเป็นคนไม่ดี การกระทำของเขาผิดไปหมด
คนส่วนใหญ่ในโลกจึงมากด้วยอคติ เราไม่ได้ตัดสินบุคคลอย่างมีเหตุผล นั่นคือตัดสินตามพฤติกรรมที่เขากระทำในแต่ละครั้ง เรามักจะตัดสินตามความรู้สึกเดิมที่เคยมีต่อเขา โดยเฉพาะสังคมไทยเป็นสังคมที่ถือเอาความรู้สึกมากกว่าเหตุผล ทำให้เรามีปัญหาทางด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคมมาจนถึงปัจจุบันนี้ คนที่ทำดีในขณะหนึ่งหรือห้วงเวลาหนึ่ง อาจจะทำผิดในโอกาสต่อไปก็ได้ เช่นเดียวกัน คนที่เคยทำผิด ทำไม่ดีในอดีต อาจจะทำถูกทำดีในเวลาต่อมาก็ได้ คนทุกคนแสดงพฤติกรรมอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จึงมีทั้งถูกทั้งผิดระคนกันไป ไม่มีใครที่ดีโดยสมบูรณ์ และไม่มีใครที่ชั่วโดยสมบูรณ์เช่นกัน
หากเรามีความเข้าใจตามความเป็นจริงดังกล่าว เราควรที่จะให้อภัยแก่คนที่เคยทำผิดและให้โอกาสเขาบ้าง ทำนองเดียวกันก็อย่าหลงไปว่าคนที่เรารักเราชอบเขาจะไม่ทำผิด ต้องเผื่อใจเอาไว้ คนที่เรารักเราก็พร้อมที่จะให้อภัยเขาอยู่แล้ว แต่กับคนที่เราชัง ทำไมเราจึงไม่ให้อภัยแก่เขาบ้าง ความรู้สึกเกลียดชัง ไม่ให้อภัยกัน มีแต่จะทำร้ายจิตใจตนและหาทางทำลายคู่ปรปักษ์ เป็นสิ่งที่ไม่มีคุณเลย
..... การให้ อภัยทาน เป็นทานที่ผู้ให้ไม่ต้องลงทุน ลงแรงและเสียทรัพย์สินสิ่งของใด ๆ เลย ไม่ต้องเสียเวลาด้วย เป็นทานที่ผู้ให้ให้แล้วก็เบาใจ เพราะเอาความหนักใจคือความโกรธ ความเคียดแค้นชิงชัง ที่เก็บสะสมไว้มานานนับปี อันไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ เลย ทั้งต่อตนเองและผู้อื่นละทิ้งไป เป็นทานที่ผู้รับยินดีที่จะรับ และเป็นทานที่จะช่วยให้เกิดความสมานฉันท์ อันจะส่งเสริมสร้างพลังของความร่วมมือร่วมใจกันให้เกิดขึ้นในสังคม ... ประโยชน์ของการให้อภัยกันมีมาก ผู้ที่ให้อภัยผู้อื่นโดยเป็นฝ่ายยื่นมิตรไมตรีให้ก่อน ถือว่าเป็นผู้ที่ชนะใจตนเอง ชนะทิฐิมานะหรือความคิดเห็นถือตัวถือตนของตนเองได้ เป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่และยกระดับจิตใจของตนให้สูงขึ้น..... การให้อภัยตนเองก็เป็นเรื่องที่มีความสำคัญมิใช่น้อย บางคนที่เคยทำผิดพลาดในเรื่องสำคัญของชีวิต มักจะย้ำคิดย้ำจำถึงความผิดพลาดนั้น ๆ ทำให้จิตใจจมปลักอยู่กับความเศร้าหมอง ทั้ง ๆ ที่เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นมานานแล้ว การได้สลัดทุกข์นั้นออกไป จะทำให้จิตใจเบาสบาย มีความสุขขึ้น... .. . เราสามารถปลดปล่อยทุกข์นี้ได้ด้วยการรู้จักให้อภัยตนเอง ไม่หมกมุ่นครุ่นคิดถึงอดีตที่ผ่านมา อยู่กับความเป็นจริงในปัจจุบัน และพร้อมที่จะทำสิ่งดี ๆ ให้ตัวเองเพื่ออนาคตอันสดใส.......
ผู้อ่านให้อภัยคู่แค้นและให้อภัยตนเองแล้วหรือยัง
(เรียบเรียงจากบางส่วนหนังสือ “พาใจไปพบสุข” ...โดย พระอาจารย์ชาญชัย อธิปญฺโญ)