อย่าสีแกลบ

อย่าสีแกลบ


อย่าสีแกลบ



          แกลบ คือ เปลือกของเม็ดข้าวสาร ที่ไม่มีราคาค่างวดอะไร ทำประโยชน์ได้น้อย หรือไม่ได้ใช้ทำอะไรเลย นอกจากทิ้งให้ผุหรือเผาไฟเป็นเชื้อถ่าน รวมความว่าเป็นสิ่งที่ไร้ราคา          ถ้าใครเอาแกลบ ที่เขาสีเอาเม็ดข้าวสารออกแล้วไปสีอีก นอกจากจะเสียเวลาเสียแรงงานเปล่าแล้ว ยังอาจจะถูกคนเขามองว่า เป็นคนไม่ครบ ๔ สลึงเสียอีกด้วย เพราะไปทำในสิ่งที่ไร้ประโยชน์


          ในทำนองเดียวกัน ก็มีคนเป็นอันมาก ที่มักจะปล่อยเวลาให้หมดไปกับสิ่งที่ไร้สาระ และไม่อาจจะเรียกร้องให้กลับคืนมาได้อีก เช่น

            -
สามีหรือภรรยา หนีไปอยู่กับเมียน้อย หรือหนีตามชู้ไป
            -
คนรักตายจากไป ของรักของหวงหายไปหรือไฟไหม้
            -
ลูกที่แสนรักมาตายจากไป สัตว์เลี้ยงตายจากไป


 


          ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของหรือบุคคล ที่เรารักและหวงแหนได้ตีจากหรือตายจากไปแล้ว ไม่อาจที่จะเรียกร้องให้กลับคืนมา หรือให้อยู่ในสภาพเดิมได้อีกแล้ว แต่ใจมันก็ยังไปผูกพัน อาลัยอาวรณ์คิดถึงแต่สิ่งนั้นไม่อาจที่จะสลัด หรือตัดอารมณ์นั้นๆ ได้ จึงต้องมานั่งหรือนอนสีแกลบกันอยู่เรื่อยไปไม่มีวันจบสิ้น


          เหตุที่เป็นดังนี้ ก็เกิดจาก จิตวางไม่ลง ในอารมณ์นั้นๆ ทั้งๆ ที่รู้แน่แก่ใจอยู่แล้วว่า สิ่งนั้นจะไม่กลับคืนมาอีกแล้วก็ตาม เพราะจิตเกิดทิฐิผิด ๓ ประการ คือ


          ๑. อ่อนปัญญา (ไม่ใช่ปัญญาอ่อน) คือ ฟังหรืออ่านน้อย บวกกับความเป็นคนจิตใจคับแคบ และเห็นแก่ตัวจัด จึงไม่อาจที่จะสลัดอารมณ์นั้นๆ ได้


          ๒. ไม่ซึ้งในกฎแห่งกรรม คือ ยังไม่เข้าใจกระบวนการทำงานของกรรมอย่างถูกต้อง


          ๓. ขาดสติ คือ ไม่ได้เจริญสติ ไม่ฝึกสติ ก็ย่อมจะไม่รู้ว่าในขณะนั้น ๆ ตนกำลังคิดอะไรอยู่ ? และขาดสัมปชัญญะ คือไม่รู้ตัวด้วยว่า สิ่งที่ตนคิดนึกนั้นควรหรือไม่ควร ? และจะพรากจากการเป็นนักค้าฝันนั้นได้อย่างไร


          จากประสบการณ์พบว่า ผู้ที่ชอบหากินกับอดีตอันหวานชื่น คือชอบนึกคิดในสิ่งที่ล่วงมาแล้ว มักจะเป็นคนที่สังคมแคบ ชอบเก็บตัว ไม่ยอมเผชิญหน้ากับความจริงไม่ยอมรับความจริง เป็นคนไม่ชอบแลกหมัด แต่ชอบแทงข้างหลังหรือชอบจับเงา


 


          ทางแก้ที่ควรทำ แต่ก็ทำยาก เพราะคนพวกนี้ไม่ชอบทำ แต่ชอบคิด ได้นำมาเสนอไว้ เพื่อใครเกิดนึกขลังอยากจะทำตามบ้าง ดังนี้


          ๑. อบรมปัญญา ด้วยการฟัง การอ่านให้มากๆ ใช้ปัญญาพิจารณาหาเหตุผล คบหากับท่านผู้รู้ หมั่นสอบถามเมื่อสงสัย หมั่นฝึกฝนอบรมจิตอยู่เสมอๆ มองโลกให้กว้างและลึก


          ๒. ศึกษากฎแห่งกรรม ด้วยการศึกษาธรรมชาติของชีวิต ให้เข้าใจอย่างถูกต้อง จนรู้ความจริงว่ามันไม่มีอะไรเป็นสาระหรือจริงจัง จิตก็ย่อมจะคลายความยึดถือลงได้บ้าง


          ๓. เจริญสติ ด้วยการฝึกสติในชีวิตประจำวัน ในทุกอิริยาบถ จนสติมีความคล่องตัว เมื่อจิตไปจับอารมณ์ในอดีต ก็จะระลึกได้เร็วและสามารถตัดกระแสความคิดลงได้ในฉับพลันทันที


          ที่สำคัญก็อย่าอยู่ว่าง ควรหางานอะไรทำอย่าได้ขาดมือเพราะนอกจากจะทำให้เพลิดเพลินแล้ว ยังจะมีผลพวงมาอีก ๒ คือ ได้งานอันเป็นเหตุให้ได้เงินด้วย และทำให้ลืมเรื่องในอดีต อันไร้สาระเสียได้ในช่วงนั้น


          เมื่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ล่วงเลยไปนานเข้า ความประทับใจก็ย่อมจะลดน้อยลง จนถึงกับลืมไปเองโดยไม่ต้องฝืน นี่ก็นับว่าเป็นผลดีของจิต ที่มักจะลืมอะไรง่าย ๆ อยู่แล้ว ขอแต่ว่าให้จิตมันมีเรื่องใหม่ ๆ คิดหรือทำเถอะ


          ดังนั้น เมื่อจิตของเรามันเผลอ หรือตั้งใจไปคิดนึกเรื่องเก่าที่ประทับใจ หรือลืมไม่ลงก็ตาม แล้วทำให้เกิดความเศร้าหมอง ขุ่นมัวจนหมดความสุข


          ก็จงเตือนตนด้วยสติและปัญญา คือระลึกถึงเรื่องที่คิดและผลเสียที่จะเกิดแก่จิตใจ รวมทั้งเวลาที่เสียไปโดยไร้ประโยชน์ ไร้สาระและทำลายตนเอง


         ควรระลึกไว้เสมอ ๆ ว่า การนึกคิดเช่นนี้ เป็นการสีแกลบ หรือเลื่อยขี้เลี่อย เป็นเรื่องที่น่าละอาย เป็นการกระทำของคนปัญญาอ่อน หรือคนที่สิ้นคิดแล้วเท่านั้น !


          เมื่อมันเผลอไปคิด ถึงเรื่องที่ไร้สาระอีก ก็จงตั้งสติคอยกระตุ้นมันว่า


          นั่นแน่, สีแกลบอีกแล้ว ! เลื่อยขี้เลื่อยอีกแล้ว ไม่เอา, ไม่เอา !!


          หมั่นระลึกบ่อย ๆ มันก็จะเกิดความละอาย และจะเลิกไปในที่สุด.


 


*****


กราบขอบพระคุณที่มา  ::  ธรรมจักร


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์