(ศาลาธรรม) โลกร้อน เย็นธรรม (พระไพศาล วิสาโล)

(ศาลาธรรม) โลกร้อน เย็นธรรม (พระไพศาล วิสาโล)


โลกร้อน เย็นธรรม

พระไพศาล วิสาโล

_________________________

ธรรมชาติทุกหนแห่ง ไม่เว้นแม้แต่น่านน้ำ ผืนป่า และและแผ่นดินที่มนุษย์เข้าถึงยาก
จรดขั้วโลกเหนือถึงขั้วโลกใต้ กำลังอยู่ในอันตราย
ทุกวันนี้แทบไม่มีที่ใดบนผืนโลกที่ปลอดพ้นจากสารพิษ
แม้แต่ทวีปอาร์กติกก็ยังพบร่องรอยของสารดีดีทีในตัวสัตว์
ซึ่งสามารถทำลาย ระบบประสาท กลางมหาสมุทรแปซิฟิกซึ่งไกลจากทวีปนับพัน ๆ ไมล์
มีขยะพลาสติกนับหมื่นตันล่องลอย และทำให้สัตว์น้ำจำนวนไม่น้อยต้องตาย
เพราะกินมันเข้าไปด้วยคิดว่าเป็นอาหาร
ขณะที่สัตว์ทั้งใหญ่น้อยต้องสูญพันธุ์เพราะถิ่นที่อยู่ถูกรุกราน


ธรรมชาติทั่วโลกกำลังประสบวิกฤตในสามลักษณะ
คือ ๑.การแพร่กระจายของมลภาวะทั้งบนดิน ใต้ดิน ในน้ำ และอากาศ
๒. ความร่อยหรอหรือสูญหายอย่างรวดเร็วของธรรมชาติ ไม่ว่า ชนิดพันธุ์ของพืช สัตว์
ตลอดจนทรัพยากร อาทิ น้ำมัน แร่ธาตุ และป่า
๓. ความแปรปรวนของดินฟ้าอากาศ อาทิ น้ำท่วม ฝนแล้ง


ในบรรดาภัยทั้งสามประการนี้
ความแปรปรวนของดินฟ้าอากาศเป็นประเด็นที่กำลังมีการพูดถึงมากที่สุด
แต่ทุกวันนี้เราไม่ได้พูดถึงแค่น้ำท่วม ฝนแล้ง
หากกำลังวิตกถึงปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นคือ “โลกร้อน”
แม้ว่าโลกร้อนเป็นปัญหาที่เราเพิ่งตระหนักเมื่อไม่ถึง ๒๐ ปีมานี้เอง
แต่มันกลับกลายเป็นภัยที่ร้ายแรงที่สุดที่สามารถนำมนุษยชาติและสรรพชีวิตในโลกนี้
เข้าสู่ภาวะวิกฤตได้เร็วกว่าภัยสองประการแรกเสียอีก


ไม่เป็นที่สงสัยกันแล้วว่า “โลกร้อน” เป็นวิกฤตที่เกิดจากฝีมือมนุษย์
เช่นเดียวกับการเกิดมลภาวะและการร่อยหรอสูญหายของทรัพยากรธรรมชาติ
มันเป็นวิกฤตที่จะมีผลกระทบกว้างไกลเกินกว่าที่มนุษย์จินตนาการไปถึง
เนื่องจากมันส่งผลพร้อมกันทั่วทั้งโลก มิได้กระจายเป็นจุด ๆ อย่างภัยธรรมชาติชนิดอื่น ๆ


ปัจจุบันมีความพยายามที่จะแก้ปัญหานี้ด้วยเทคโนโลยีนานาชนิด
เช่น รถยนต์ที่ไม่ใช้น้ำมัน เครื่องยนต์ที่ประหยัดพลังงาน อุปกรณ์ประหยัดไฟฟ้า
รวมทั้งโครงการอัดคาร์บอนไดออกไซด์ลงไปใต้พิภพ แต่ไม่ว่าเทคโนโลยีเหล่านี้
จะทำได้จริงหรือมีประสิทธิภาพเพียงใด ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาโลกร้อนได้อย่างแท้จริง
ตราบใดที่มนุษย์ยังไม่เปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค เทคโนโลยีเหล่านี้ก็เพียงแต่ชะลอปัญหา
หรือกลับส่งเสริมให้มนุษย์บริโภคมากขึ้น เช่นเดียวกับรถประหยัดน้ำมัน
ที่กลับกระตุ้นให้ผู้คนเดินทางมากขึ้น
การบริโภคน้ำมันจึงไม่ได้ลดลงเลย กลับจะมากขึ้นด้วยซ้ำ


รากเหง้าของปัญหาโลกร้อน ตลอดจนปัญหาสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย
อยู่ที่ทัศนคติของมนุษย์ในปัจจุบันที่มองเห็นธรรมชาติเป็นเพียงมวลวัตถุที่มีขึ้น
เพื่อปรนเปรอความต้องการของมนุษย์เท่านั้น
เราไม่ได้มองว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
ที่อยู่ได้เพราะธรรมชาติ และดังนั้นจึงพึงสำนึกในบุญคุณของธรรมชาติ
ตรงกันข้ามผู้คนกลับเข้าใจว่ามนุษย์คือนายของธรรมชาติ
ดังนั้นจึงสามารถทำอย่างไรกับธรรมชาติก็ได้


ทัศนคติอีกประการหนึ่งที่มาควบคู่กันก็คือ
การเข้าใจว่าความสุขเกิดจากการครอบครองและบริโภควัตถุ
มีมากเสพมากเท่าไรก็จะมีความสุขมากเท่านั้น
ชีวิตจะก้าวหน้าเพียงใดก็วัดจากจำนวนและชนิดของรถที่มี
ตลอดจนราคาของบ้านและที่ดินในครอบครอง รวมทั้งยอดเงินในบัญชีเงินฝาก
ทัศนคติเช่นนี้ทำให้เราแข่งกันเสพและครอบครองวัตถุ
โดยมีลัทธิบริโภคนิยมเป็นตัวกระตุ้น และมีเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเป็นตัวรองรับ
แต่ไม่ว่าจะมีมากเสพมากเพียงใด ผู้คนก็ไม่เคยรู้สึกพอเสียที
ยังต้องการไม่หยุดหย่อน ผลก็คือเกิดการทำลายธรรมชาติอย่างขนานใหญ่
เพื่อตอบสนองวิถีชีวิตอันฟุ้งเฟ้อร่ำรวยที่ไม่เคยมีจุดสิ้นสุด
โดยที่ความสุขของผู้คนกลับไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย
ดังเห็นได้จากอัตราการเป็นโรคจิตโรคประสาทและการฆ่าตัวตายที่เพิ่มสูงขึ้น
ตามการเจริญ เติบโตทางเศรษฐกิจ


นี้คือทัศนคติหลัก ๆ สองประการที่เป็นรากเหง้าของการทำลายธรรมชาติในปัจจุบัน
ทัศนคติดังกล่าวและพฤติกรรมที่สืบเนื่องตามมา
ไม่เพียงทำให้ผู้คนเหินห่างหมางเมินหรือแปลกแยกกับธรรมชาติเท่านั้น
หากยังทำให้ผู้คนเหินห่างหมางเมินหรือแปลกแยกกับตัวเองด้วย
ดังจะเห็นได้ว่าผู้คนทุกวันนี้ทนอยู่กับตัวเองคนเดียวไม่ได้
แต่พยายามหนีตัวเองตลอดเวลา ด้วยการไปขลุกอยู่กับสิ่งเสพ เที่ยวห้าง คุยโทรศัพท์
หรืออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ สุดท้ายก็หนีไม่พ้นที่จะไปเบียดเบียนธรรมชาติ


กล่าวอย่างถึงที่สุดแล้วธรรมชาติแวดล้อมวิกฤต
ก็เพราะธรรมชาติภายในของผู้คนเสียสมดุล
พูดอีกอย่างก็ได้ว่า ความผันผวนปรวนแปรของธรรมชาติแวดล้อมทุกวันนี้
เป็นผลมาจากความผันผวนปรวนแปรของธรรมชาติภายในผู้คน
เป็นเพราะผู้คนมีความทุกข์ อ้างว้าง และว่างเปล่าในส่วนลึกของจิตวิญญาณ
จึงพยายามหาวัตถุมาเติมเต็ม แต่ไม่ว่าจะแปรธรรมชาติเป็นสิ่งเสพ
และทรัพย์สินเงินทองมากมายเพียงใด จิตวิญญาณก็ไม่เคยเติมเต็มเสียที


ธรรมชาติแวดล้อมจะไม่มีวันฟื้นฟูได้เลยหากธรรมชาติภายในของผู้คน
ไม่คืนสู่สมดุลหรือความปกติ ด้วยเหตุนี้ธรรมะจึงเป็นสิ่งจำเป็นยิ่ง
ธรรมชาติกับธรรมะแยกจากกันไม่ออก หากจะฟื้นฟูธรรมชาติได้
ก็จำเป็นต้องฟื้นฟูธรรมในใจของผู้คน
นั่นคือทำให้ผู้คนกลับมาตระหนักถึงความเป็นจริงว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
อยู่ได้เพราะธรรมชาติ และดังนั้นจึงควรสำนึกในบุญคุณของธรรมชาติ
ขณะเดียวกันธรรมยังช่วยให้เรารู้จักพอ มีชีวิตที่เรียบง่ายได้โดยไม่ต้องฝืนใจ
เพราะสามารถเข้าถึงความสุขที่ประณีต


ความสุขอันประณีตนั้นไม่ต้องอาศัยการเสพหรือมีวัตถุ
แต่เกิดจากการมีจิตใจที่สงบเย็น จากการทำความดี
จากการเห็นรอยยิ้มแห่งความสุขของผู้คนอันเป็นผลจากความเอื้อเฟื้อเกื้อกูล ของเรา
รวมทั้งจากความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ เราทุกคนย่อมโหยหาความสุข
และการที่เราพากันไปแสวงหาความสุขจากวัตถุ ก็เพราะเราไม่รู้จัก
หรือไม่สามารถเข้าถึงความสุขอันประณีต
แต่เมื่อใดก็ตามที่เราเข้าถึงความสุขอันประณีตได้ ความสุขจากวัตถุจะมีเสน่ห์น้อยลง



ความสุขอันประณีตเกิดจากเข้าถึงธรรม เมื่อเรารู้จักพอ ความสุขก็เกิดขึ้นได้ง่าย
และเมื่อจิตใจมีความสุข ความพอก็เกิดขึ้นได้ไม่ยาก
ไม่มีความจำเป็นต้องเบียดเบียนธรรมชาติเพื่อปรนเปรอกิเลส
หรือสนองความสุขอย่างหยาบ ๆ อีกต่อไป
ทำให้มีชีวิตที่บรรสานสอดคล้องกับธรรมชาติแวดล้อม
ใจที่มีธรรมจึงเป็นหลักประกันแห่งการรักษาคุ้มครองธรรมชาติที่ดีที่สุด



อย่างไรก็ตามธรรมไม่ได้เกื้อกูลธรรมชาติฝ่ายเดียว ธรรมชาติก็เกื้อกูลธรรมด้วย
ผู้ที่มีจิตใจรุ่มร้อน เมื่อได้มาอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันสงบสงัด
จิตใจก็จะสงบเย็นได้เร็ว เกิดกุศลธรรมได้ง่าย และหากหันมามองด้านใน
หรือรู้จักบำเพ็ญทางจิต สติ สมาธิ ปัญญาก็จะเจริญงอกงาม
ผู้ที่มีใจเปิดกว้าง ย่อมเรียนรู้ธรรมได้มากมายจากธรรมชาติ
ไม่ว่าสัจธรรมคือความเป็นจริงของชีวิต เช่น ความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง
และความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันของทุกสิ่งในจักรวาล
ใช่แต่เท่านั้นธรรมชาติยังสอนจริยธรรมให้แก่เราได้เป็นอย่างดี
ไม่ว่าจากต้นไม้ที่เอื้อเฟื้อสรรพสัตว์ จากแมลงที่อดทนและเพียรพยายามอย่างไม่ย่อท้อ
จากนกที่โบยบินอย่างอิสระโดยไม่มีทรัพย์สินเป็นภาระ
เมื่อมีผู้ถามหลวงปู่มั่นว่าท่านรู้ธรรมได้อย่างไรในเมื่อเรียนหนังสือไม่มาก
ท่านตอบว่า...สำหรับผู้มีปัญญา ธรรมะมีอยู่ทุกหย่อมหญ้า...
และด้วยเหตุผลเดียวกัน ท่านอาจารย์พุทธทาสจึงแนะให้ผู้มาเยือนสวนโมกข์
หัดฟังต้นไม้และก้อนหินสอนธรรม



ผู้ที่ใฝ่ธรรมหรือหวังความเจริญงอกงามของชีวิตด้านใน
จึงควรมีเวลาอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันสงบสงัด ในบรรยากาศเช่นนั้น
หากน้อมจิตให้ดี ไม่เพียงเราจะเห็นธรรมจากธรรมชาติแวดล้อมเท่านั้น
หากยังจะเห็นธรรมชาติภายในใจเราชัดเจนด้วย
ซึ่งนำไปสู่การเห็นสัจธรรมของชีวิตและโลกได้
ทำให้เกิดความสงบและสว่างกระจ่างแจ้งภายใน


อย่างไรก็ตามในสถานการณ์ที่ธรรมชาติกำลังตกอยู่ในอันตราย
เราไม่ควรที่จะแสวงหาประโยชน์จากธรรมชาติเท่านั้น
แม้จะเป็นประโยชน์ทางธรรมก็ตาม
หากควรมีน้ำใจเอื้อเฟื้อและตอบแทนคุณธรรมชาติด้วย
โดยช่วยกันพิทักษ์รักษาธรรมชาติอย่างเต็มกำลัง ไม่ว่าการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่า
การนำสิ่งของมาหมุนเวียนใช้ใหม่ การส่งเสริมถุงผ้า
การคุ้มครองสัตว์และพันธุ์พืช ตลอดจนการรณรงค์ให้ผู้คนตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อม เป็นต้น


ข้อที่พึงตระหนักคือการพิทักษ์รักษาธรรมชาติเป็นงานที่เห็นผลช้า
และอาจหยุดยั้งการทำลายไม่ได้ แต่ก็ไม่ควรท้อแท้หรือคับข้องใจ
เพราะถึงอย่างไรนี้ก็เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง
จะว่าไปแล้วจำเป็นมากที่เราควรมองการกระทำดังกล่าวเป็นการปฏิบัติธรรม
เพราะจะช่วยให้เรามีความสงบเย็นในจิตใจได้ ในขณะที่โลกกำลังร้อนไม่หยุด
ไม่ควรที่เราจะร้อนรุ่มไปกับผู้คนทั้งโลก หากควรรักษาใจให้สงบเย็นเอาไว้
การทำงานใด ๆ ก็ตาม แม้จะเป็นสิ่งดีมีประโยชน์ แต่หากเราทำด้วยความทุกข์แล้ว
สิ่งนั้นก็อาจกลายเป็นโทษได้ อย่างน้อยก็เป็นโทษแก่เราเอง


ในยามที่โลกกำลังร้อน เราจึงไม่ควรร้อนตามโลก แต่ควรมีธรรมเป็นที่พึ่ง
เพื่อให้เรามีพลังในการดำเนินชีวิตและทำประโยชน์แก่โลกได้อย่างสร้างสรรค์
ไม่ว่าโลกจะร้อนเพียงใด แต่ธรรมนั้นร่มเย็นเสมอ เมื่อใดใจถึงธรรม
ความสงบเย็นภายในก็เป็นไปได้แม้โลกภายนอกจะร้อนรุ่มเพียงใดก็ตาม



ที่มา...จิตวิวัฒน์ พฤศจิกายน ๒๕๕๑

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์