ทุกข์นั้นมีค่ายิ่งกว่าเพชรยิ่งกว่าทอง
ถาม : แล้วคนช่วยที่อยู่รอบข้า...(ฟังไม่ชัด)
ตอบ : ตัวช่วยจริงๆ อยู่รอบข้าง นั่นคือว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็น สามารถเป็นครูให้เราได้ทั้งนั้น คนอื่นที่เขานั่งอยู่ เขาเจ็บไหม ? ป่วยไหม ? เมื่อยไหม ? ทั้งหมดล้วนแล้วแต่กำลังเป็นไปอยู่ในทุกข์ทั้งสิ้น เขาก็ทุกข์ เราก็ทุกข์
แต่ขณะเดียวกันตัวช่วยรอบข้างนี่แหละ จะกลายเป็นบริวารของมารได้ทุกเวลาเหมือนกัน สิ่งที่เราเห็น สิ่งที่เราได้ยิน ถ้าเรารับเข้ามาในใจโดยปราศจากการระมัดระวัง ก็พร้อมที่จะก่อให้เกิดการกระทบ พอกระทบเมื่อไร เราส่งใจออกไปรับรู้เมื่อไร ก็แปลว่าทุกข์เมื่อนั้น ตัวช่วยอยู่รอบข้าง แต่ขณะเดียวตัวที่คอยซ้ำก็อยู่รอบข้างเหมือนกัน ตัวเดียวกันด้วย
ที่บอกว่ามารกับความดีหน้าตาเหมือนกันเลย ก็คือตรงจุดนี้แหละ อยู่ที่ใจของเรา ถ้าใจของเราดี รอบข้างดีหมด
ถ้าใจของเราไม่ดี รอบข้างก็ไม่ดีไปด้วย
หลวงปู่ขาว สมัยโน้น...ท่านเล่าให้ฟัง พอท่านผ่านจุดของการต่อสู้ไป จนมั่นใจว่าไม่แพ้แล้ว ขนาดกุฏิเก่าๆ ทั้งหลัง กราบแล้วกราบอีกไม่เบื่อ กุฏิเก่าๆ อยู่มาตลอดไม่เคยมองเสียด้วยซ้ำเลย กลายเป็นครูไปได้อย่างไรก็ไม่รู้
...เอาแค่ทุกข์ตัวเดียวนะ ทุกคนเวลาเกิดความทุกข์ ก็จะไปคร่ำครวญอยู่กับมัน ลำบากเหลือเกิน ทุกข์ยากเหลือเกิน แต่ว่าในสายตาของพระปฏิบัติที่ทำไปถึงตรงจุดนั้นแล้ว ทุกข์นั้นมีค่ายิ่งกว่าเพชรกว่าทองอีก มีเงินเท่าไรก็ซื้อไม่ได้
อดีตโบราณาจารย์หลายลัทธิที่มีความสามารถสูงมาก มีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือ ปฏิบัติมาตลอดทั้งชีวิต ก็ไม่สามารถจะเห็นอริยสัจที่แท้จริงตัวนี้ได้
พระพุทธเจ้าของเราบำเพ็ญบารมีอย่างน้อยสี่อสงไขยกับหนึ่งแสนมหากัป ปฏิบัติด้วยความลำบากยากเข็ญถึงหกปีเต็ม ๆ ด้วยปัญญาธิคุณอันล้ำเลิศ พระองค์ท่านจึงตรัสรู้เห็นอริยสัจอันนี้ได้ ของที่หาได้ยากเย็นแสนเข็ญขนาดนั้น ปรากฏอยู่เฉพาะหน้าของเราแล้ว เงินทองเท่าไรก็ซื้อไม่ได้ กลายเป็นของที่มีค่าชนิดที่ไม่สามารถจะไปควานหามาจากที่ไหนได้ ของที่เราว่าไม่ดีแท้ๆ กลายเป็นของล้ำค่าในสายตาของท่านไป
ตามทันไหมตรงนี้ ? ตามไม่ทันพูดใหม่ก็ไม่เหมือนเดิม ...(หัวเราะ)... เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างจะมีมุมมองของตัวเอง เมื่อไปถึงตรงจุดนั้นแล้ว จะไม่มีดีไม่มีชั่ว ดีชั่วก็เป็นแค่สมมุติ สิ่งที่เห็นคือผู้ที่กำลังเป็นไปตามกรรม
กระแสกรรม อันนั้นมีดำกับขาว ฝ่ายขาวพาเราขึ้นสูง ฝ่ายดำพาเราลงต่ำ เรากระโดดไปกระโดดมาอยู่ในสองกระแสนี้ จนกว่าจะเด็ดขาดสิ้นเชิงไป หลุดออกจากกระแสทั้งคู่เสียก็หลุดพ้น แต่ถ้าหากว่ายังไม่สามารถหลุดพ้นได้ ต้องเกาะกระแสสีขาวเสียก่อน เกาะไว้เหมือนกับเราขึ้นบันไดสูงๆ ให้เกาะราวบันไดไว้ก่อน เป็นการประกันความเสี่ยง แล้วถึงเวลา ถ้าหากว่าเราขึ้นมา สมมุติว่าเป็นห้องนี้ เข้ามาในห้องแล้วเราก็ไม่ได้แบกราวบันไดมาด้วย เรากองเอาไว้ที่เดิม อันดับแรก เราต้องเกาะก่อน คือเกาะดี แล้วหลังจากนั้นพอถึงที่สุดแล้วถึงจะพ้นดี
หลวงปู่มหาอำพันที่อาตมาจะทำบุญถวายร้อยปีเกิดของท่าน ท่านใส่บาตรทุกเช้า อาตมาอยู่วัดเทพศิรินทร์กับหลวงปู่สี่ปีเต็ม ๆ คอยดูแลปรนนิบัติท่าน เพราะว่าท่านอายุมากแล้ว มรณภาพตอนแปดสิบแปด ท่านใส่บาตรทุกเช้า พระทุกรูปท่านบอกว่านิมนต์นะครับ ตอนไปทำวัตรเย็น นิมนต์นะครับ ถ้าท่านใดออกบิณฑบาตกรุณาผ่านกุฏิผมด้วย ขอเป็นเนื้อนาบุญของผมบ้าง พระทุกรูปเดินผ่านท่านจัดเตรียมอาหารอยู่ ท่านก็ใส่บาตรทุกวัน
เราต้องตื่นมาช่วยท่านทุกวัน ช่วยไปช่วยมาก็สงสัย คือเรารู้ว่าหลวงปู่เป็นพระดีแน่นอน ก็กราบเรียนว่า หลวงปู่ครับ..บุญของหลวงปู่ก็กินไม่ไหว ใช้ไม่หมดอยู่แล้ว แล้วหลวงปู่ยังต้องไปทำอะไรอีก ท่านบอกว่า ไฮ้..! คุณก็..คนเราถ้าหากว่าปีนขึ้นไปบนหน้าผาแล้ว ก็มีแต่ต้องรีบตะเกียกตะกายไปให้ห่างจากมันให้มากที่สุด
คือพระที่ท่านเข้าถึงความดีแล้ว ท่านจะทรงความไม่ประมาทอยู่เสมอ ของเราเองนี่ประมาทเต็มตัวเลย ไม่ต้องห่วง ทำดีพอแล้ว ไม่ต้องทำอีกก็ได้ พอกินแล้ว เกิดหาใหม่ไม่ทันก็อดกิน นั่นแหละครูบาอาจารย์แต่ละองค์ๆ ท่านจะให้ในสิ่งที่เป็นแบบอย่างแก่เรา แล้วเราเองเอาสิ่งทั้งหลายนั้นมาประยุกต์ นำส่วนที่พอเหมาะพอสม มาปฏิบัติให้เกิดคุณกับตัวเราได้ ไม่ใช่ยกมาทั้งแท่ง ที่ยกมาทั้งแท่งอย่างที่บอกว่าสู้แค่ตาย อาตมาตายฟรีมาแล้วจ้ะ
นักปราชญ์เขาบอกว่า เรียนรู้ตามตำราถือว่าเก่ง..ใช่ไหม ? ต้องพลิกแพลงใช้งานได้ถึงจะยอด แต่ถ้าเยี่ยมจริงๆ ให้บัญญัติใหม่ ...(หัวเราะ)... ของเราไม่เก่งขนาดนั้น ต้นบัญญัติจริงๆ คือพระพุทธเจ้าเท่านั้น บัญญัติใหม่อาตมาไม่เอาด้วย
สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนมิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๔