แต่หากมองหาประโยชน์ซึ่งกันและกันแล้ว
ก็จะได้ความรู้ ความเข้าใจ มากกว่าที่เป็น
บนโลกใบนี้ ไม่มีใครเก่งกว่าใคร ไม่มีใครรู้มากกว่าใคร
เพราะต่างคนก็รู้ตามที่ตนนั้น ได้ใช้ชีวิตมาในประจำวัน
บางสิ่งที่เรารู้ เขาอาจไม่รู้ แต่สิ่งที่เขารู้ เราอาจไม่รู้
การยอมรับในแง่มุมมองของผู้อื่น จะส่งผลดีให้กับตัวเจ้าของเอง
ในที่นี้ ที่ผมกล่าว ไม่ยกเอาตัวตน หรือ อัตตาใดใด
เอาแต่ประโยชน์ซึ่งกันและกันเท่านั้น นำประโยชน์มาแบ่งปันกัน
ย่อมดีกว่า เอาปัญหามาถกเถียงกัน เพราะนอกจากไม่ได้สิ่งที่ดีแล้ว
ยังได้ความขุ่นข้องหมองใจแทนที่ ซึ่งเหมือนการสร้างความทุกข์ให้ตนเอง
โดยแท้จริง เรานั้นไม่สามารถบังคับ ให้บุคคลอื่น ทำตามที่เราต้องการได้
หรือ จะบังคับให้บุคคลอื่นมาเชื่อฟังเรา ก็เป็นเรื่องที่ยากมาก
ความเชื่อที่มนุษย์มีนั้น มาจากการใช้ชีวิตส่วนตัว ที่เกิดจากชีวิตประจำวัน
ประสบการณ์ของแต่ละบุคคล ที่แตกต่างกัน ไม่เพียงแต่ศาสนาพุทธเท่านั้น
ที่มีอยู่ในโลกใบนี้ ศาสนาอื่น เขาก็เชื่อของเขาแบบนั้น
จะไปบังคับให้เขามาเชื่อศาสนาพุทธ ก็ทำได้ยาก ซ้ำยังจะถกเถียงกันไม่เลิก
หากจะกล่าวว่า มนุษย์นี้ ไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยงของผู้ที่เรามองไม่เห็นแล้ว
ผู้นั้นยังจะคอยบงการเราให้คิดแบบนั้น แบบนี้ ทำแบบนั้น แบบนี้
ผู้ที่อยู่นอกระบบ ซึ่งไม่ทราบว่า เป็น พระเจ้า หรือ ซาตาน
ที่มาสร้างความเชื่อให้แก่มนุษย์ จนทำให้มนุษย์มีความคิดที่แตกต่างกัน
สร้างให้มนุษย์คนนั้นกระทำในสิ่งนี้ สร้างให้มนุษย์คนนี้กระทำในสิ่งนั้น
มนุษย์ก็ยังตามกระแสเหล่านี้ มาจนถึงยุคสมัยที่ศาสนาเริ่มเสื่อมโทรม
"สิ่งที่ผมขอฝากเอาไว้ ให้พิจารณาคือ การปฎิบัติธรรมในทุกวันนี้
ไม่ว่าจะการนั่งกรรมฐาน หรือ การศึกษาเล่าเรียนพระธรรม หรือ เจริญสติปฐาน
เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเท่าไรแล้ว ความสบายที่เข้ามาแทนที่
ได้สร้างมนุษย์ให้มีจิตใจ โหยหาความสุขสบาย มากกว่าที่จะมุ่งมั่นในภาระกิจ"
สาธุครับ
ขอให้เจริญในธรรมครับ