จนในที่สุดเมื่อภาวนาอยู่ไม่รู้จักคำว่า “หยุดถอย” อยู่มาวันหนึ่งในพรรษาที่ ๓ มานั่งภาวนาอยู่ที่ใต้ต้นกระบกที่วัดทรายงาม
“จิตรวมใหญ่ด้วยการหยั่งสติปัญญา ลงในกายานุปัสสนา แยกแยะส่วนต่าง ๆ ของธาตุขันธ์ออก พิจารณาด้วยปัญญาไม่ลดละ คือยกทั้งส่วนรูปกาย ทั้งส่วนเวทนาคือทุกข์ภายใน ทั้งส่วนสัญญาที่หมายกายส่วนต่างๆ ว่าเป็นทุกข์ ทั้งส่วนสังขารตัวปรุงแต่งว่า ส่วนนี้เป็นทุกข์ ส่วนนั้นเป็นทุกข์ ขึ้นสู่เป้าหมายแห่งการพิจารณาของสติปัญญาผู้ดำเนินงาน ทำการขุดค้น คลี่คลายอย่างไม่หยุดยั้ง จิตมีกำลังขึ้นมาอย่างประจักษ์สามารถคลี่คลายธาตุขันธ์จนรู้แจ้งตลอดทั่วถึง ด้วยอำนาจแห่งการพิจารณา พิจารณากายครั้งนี้ละเอียดลออไปทุกชิ้น ทุกส่วน ทุกอัน ไม่มีตกหล่น จนได้สภาวะของใจอันละเอียดสุดนั้น จิตลงสู่ความจริงประจักษ์ใจ โลกทั้งหลายไม่มีปรากฏขึ้นกับใจ ขาดสูญไปหมด มีอยู่จำเพาะใจดวงเดียวไม่มีสิ่งใดเจือปน”
การพิจารณากายครั้งนี้ ปรากฏประหนึ่งว่า “แผ่นดิน แผ่นฟ้าละลายหมด กายกับใจนี้มันขาดออกจากกัน เหมือนว่าโลกนี้ขาดพรึบลงไป ไม่มีอะไรเหลือเลย แม้แต่ร่างกายก็สูญหายไปหมด เหลือแต่ความบริสุทธิ์ของใจอันเที่ยงแท้ทีเดียว”
เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิแล้ว จิตนี้แปลกประหลาดอัศจรรย์และพิสดารอย่างลึกล้ำ ถึงกับได้อุทานภายในใจว่า “นี่แหละชีวิตอันประเสริฐ เราได้พานพบแล้ว”
คืนนั้นจึงเป็นคืนที่น่าจดจำอย่างไม่มีวันลืมธรรมชาติของจิตนี้มันแปลกกว่าที่คาดอยู่มาก มากขนาดว่าก่อนจิตรวมกับหลังจิตรวมนี้มันเหมือนคนละคน ทั้งๆ ที่เป็นคนเดียวกัน อันนี้พูดในด้านธรรมะนะ ไม่ได้โอ้อวด พอจิตนี้รวมถึงที่สุดแล้ว ถอนจิตออกจากสมาธิแล้ว จิตนี้มันอาจหาญ ไม่กลัวใคร คำไม่กลัว ไม่ได้หมายว่าเราเป็นนักเลง คือไม่กลัว ต่อความจริง อันไหนเป็นความจริงเราอาจหาญที่จะต่อสู้และพิจารณา เรียกว่า “ธรรมทำให้กล้าหาญ”
เมื่อภาวนาจิตลงได้อย่างนั้นแล้ว สมบัติใดๆ ในโลกที่เขานิยมว่ามีค่ามาก จะเอามากองให้เท่าภูเขาเลากา ไม่ได้มีความหมายเลย ธรรมสมบัติที่ปรากฏเมื่อคืนนี้ เป็นธรรมสมบัติเหนือรัตนะเงินทองโดยประการทั้งปวง อัศจรรย์ในธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นที่ยิ่ง จิตไม่เกี่ยวเกาะด้วยกามคุณเลย ทั้ง ๆ ที่เคยสัญญากับคนรักไว้ก่อนบวชว่า “บวชเพียงหนึ่งพรรษา ก็จะสึกออกมาแต่งงานกัน” เมื่อจิตมิได้เยื่อใยในโลกเช่นนั้นอยู่มาวันหนึ่งเดินออกบิณฑบาต เจอคนที่เราเคยรักมาใส่บาตร เราจึงบอกสาวคนที่เรารักนั้นไปว่า “แป้งเอ๊ย...ต่อแต่นี้ไปเราจะไม่สึกแล้วนะ”
เมื่อเป็นสันทิฏฐิกธรรม คือรู้เองเห็นเองเฉพาะตนแล้ว จึงไม่นำไปพูดกับใครและปิดไว้ไม่ให้ใครรู้ จึงนึกถึงแต่กิตติศัพท์และกิตติคุณของท่านพระอาจารย์ (...เมื่อเรานำเรื่องนี้ไปกราบเรียนท่านพระอาจารย์มั่น ต่อมาภายหลังท่านเทศน์ให้หมู่เพื่อนฟังว่า “บุญกุศลนี้ต่างกันโว้ย มีหมู่ปฏิบัติมา ๓-๔ ปี มันลงเหมือนเราที่นครนายก” เราจึงรู้ว่ามันลงเหมือนกัน เพราะตอนนั้นเรายังเด็ก (อ่อนพรรษา)
ทีหลังท่านเรียกเราว่า “ผ้าขี้ริ้วห่อทอง” ท่านว่าให้หลวงตาบัวฟังหรือเปล่าก็ไม่รู้ ท่านเรียก “ผ้าขี้ริ้วห่อทอง” เหมือนกัน (หัวเราะ)....)
หลวงปู่เจี๊ยะ...พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง ๕
จาก หนังสือ ประวัติ พระครูสุทธิธรรมรังษี หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง
วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อำเภอสามโคก จังหวัดประทุมธานี
จิตรวมใหญ่ใต้ต้นกระบก (หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท)
จิตรวมใหญ่ใต้ต้นกระบก (หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท)
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!