ยาคุมกอเอี๊ยะ แค่ “แปะ”ก็ไม่ท้อง(จริงหรือ?)
ว่ากันว่า การสืบเผ่าพันธุ์เป็นสิ่งจำเป็นของสิ่งมีชีวิตที่พระเจ้าประทานให้มา เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์สืบต่อไป แต่การขัดจังหวะการขยายเผ่าพันธุ์เป็นหน้าที่ของมนุษย์ที่ขอก้าวก่ายหน้าที่ของพระเจ้าสักนิด นัยว่า เพื่อเตรียมความพร้อมให้เหมาะก่อนจะมีผู้สืบสกุลต่อไปนั่นเอง เราเรียกการที่มนุษย์ขัดจังหวะการขยายเผ่าพันธุ์นี้ว่า การคุมกำเนิด
แน่นอนว่า วิธีการคุมกำเนิดในปัจจุบันนั้นมีหลายชนิด ทั้งการใช้ถุงยางอนามัย การใช้ยาคุมกำเนิด ฯลฯ แต่ที่หลายคนอาจจะเห็นล่าสุดแล้วเกิดความสงสัยขึ้นมาว่าจะใช้ได้ผลและมีประสิทธิภาพจริงหรือไม่ ก็คือ “ยาคุมกำเนิดชนิดแผ่นแปะผิวหนัง”
อย่างไรก็ตาม ก่อนจะเข้าเรื่อง คงต้องให้ความรู้เกี่ยวกับการตั้งครรภ์และการคุมกำเนิดกันสักนิดเพื่อความเข้าใจร่วมกัน....
นพ.รุ่งโรจน์ ตรีนิติ เว็บมาสเตอร์ www.clinicrak.com ระบุว่า การตั้งครรภ์มีองค์ประกอบ 3 อย่าง คือตัวอสุจิ ไข่ และมดลูก นั่นก็คือตัวอสุจิต้องผสมกับไข่แล้วอาศัยมดลูกเป็นที่เจริญเติบโต ถ้าขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งการตั้งครรภ์ก็ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ โดยขบวนการสืบพันธุ์จะเริ่มจากตัวอสุจิจากฝ่ายชายที่ต้องมีปริมาณมากพอและมีคุณภาพพอ เดินทางมาในช่องคลอดสตรี ผ่านปากมดลูก เข้าตัวมดลูก ผ่านท่อนำไข่แล้วผสมกับไข่ที่นี่ หรืออาจไปผสมในช่องท้องก็ได้
ส่วนไข่ของผู้หญิง ก็มีระยะเวลาที่จะสุกและตกมาพร้อมจะผสมเดือนละครั้ง ครั้งละ 24 ชั่วโมง ตัวไข่เองก็ต้องมีความสมบูรณ์จึงจะให้ตัวอ่อนที่สมบูรณ์จนสามารถเจริญเติบโตเป็นตัวเองที่สมบูรณ์ได้
“หลักการป้องกันการตั้งครรภ์คือ ต้องทำให้เกิดความบกพร่องที่จุดใดจุดหนึ่ง คือ ตัวอสุจิ ไข่ และตัวอ่อน ไม่ว่าจะเป็นไปตามธรรมชาติหรือโดยการกระทำของมนุษย์ก็ตาม ก็ทำให้ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ การคุมกำเนิดก็คือ การป้องกันการตั้งครรภ์เมื่อมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งแบ่งได้เป็นการคุมกำเนิดของฝ่ายชายและฝ่ายหญิง ฝ่ายชาย ที่ใช้กันในปัจจุบันมี 3 วิธีคือ ใช้ถุงยางอนามัย หลั่งภายนอก และทำหมัน”
“ขณะที่ฝ่ายหญิง ที่ใช้กันในปัจจุบันคือ กินยาเม็ดคุมกำเนิด ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบฉุกเฉิน ยาฉีดคุมกำเนิด ยาฝังคุมกำเนิด ทำหมัน ใส่ห่วงอนามัย นับวันปลอดภัย ยาฆ่าอสุจิ ฝาครอบปากมดลูก ห่วงสอดช่องคลอด แผ่นแปะผิวหนัง”
นพ.รุ่งโรจน์ชี้แจงว่า สำหรับแผ่นแปะคุมกำเนิดนั้น เป็นนวัตกรรมล่าสุดของการคุมกำเนิดที่จำหน่ายในท้องตลาด สูตินรีแพทย์ทั่วไปมักเรียกแผ่นแปะคุมกำเนิดว่า “ยาคุมกอเอี๊ยะ” เพราะมีลักษณะการใช้เหมือนกอเอ๊ะ คือ เมื่อแปะที่ผิวหนังแล้ว ตัวยาจะค่อยๆ ซึมผ่านผิวหนังเข้าสู่กระแสเลือด แล้วไปออกฤทธิ์ป้องกันการตั้งครรภ์ เป็นยาคุมกำเนิดชนิดแปะชนิดแรกที่ได้รับอนุมัติจาก FDA (องค์การอาหารและยา) ของสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2544 มีจำหน่ายในสหรัฐฯในปี 2545
สำหรับประเทศไทยได้นำเข้ามาจำหน่ายในเมื่อเดือนเมษายน 2548 มีจำหน่ายที่โรงพยาบาล คลินิกหลายแห่งร้านขายยาชั้นนำทั่วไป ใช้แทนยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดกินสำหรับคนที่ไม่สามารถรับประทานยาได้ หรือคนที่ชอบลืมกินยา หรือไม่ชอบกินยา ถ้าใช้อย่างถูกต้องก็มีประสิทธิภาพ 99 %
ด้านรศ.นพ. อรรณพ ใจสำราญ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสูตินรีเวชโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ อธิบายเพิ่มเติมว่า ยาคุมกอเอี๊ยะ เป็นแผ่นสี่เหลี่ยมขนาด 20 ตารางเซนติเมตร ประกอบด้วยตัวยาสองตัวคือโปรเจสโตเจนและเอสโตรเจนเหมือนยาเม็ดคุมกำเนิดทั่วไป สำหรับโปรเจสโตเจนก็ใช้ตัว norelgestromin 6.0 มิลลิกรัม ส่วนเอสโตรเจนก็ใช้ ethinyl estradiol 0.75 มิลลิกรัม กระบวนการป้องกันการตั้งครรภ์เหมือนยาเม็ดคุมกำเนิด ฮอร์โมนในแผ่นค่อยๆออกฤทธิ์ยับยั้งการตกไข่ และทำให้มูกที่ปากมดลูกเหนียวข้นทำให้ตัวอสุจิผ่านเข้ามดลูกได้ยาก
“วิธีใช้ วันแรกที่รอบเดือนมาเลย (ภายใน 24 ชั่วโมง) แต่ถ้าเริ่มแปะหลังจากวันแรกไปแล้ว 7 วันแรกควรใช้การคุมกำเนิดอย่างอื่นร่วมด้วย ส่วนรอบต่อไปก็เปลี่ยนแผ่นในวันที่เคยเปลี่ยนและสามารถมีผลคุมกำเนิดได้ตั้งแต่วันแรกของแผงแรกของรอบนั้นทันทีหนึ่งรอบมี 4 สัปดาห์ แปะสัปดาห์ละหนึ่งแผ่น สัปดาห์ที่ 4 เว้นการแปะ 7 วัน เมื่อเว้นครบ 7 วันแล้ว ไม่ว่ารอบเดือนจะมาหรือไม่มา รอบเดือนมาแล้วจะหยุดหรือไม่หยุด ก็ให้แปะแผ่นแรกของรอบใหม่ทันที”
ทั้งนี้ สามารถแปะได้หลายที่ แต่ส่วนมากก็มักแปะที่ท้องน้อย หรือสะโพก แต่ละแผ่นไม่ควรแปะซ้ำที่แต่ให้เลื่อนออกไปตำแหน่งใหม่จุดที่ห้ามแปะคือที่เต้านมจุดที่จะแปะไม่ควรใช้เครื่องสำอาง หรือแป้งหรือครีม และหลีกเลี่ยงจุดที่มีแผล มีการอักเสบ หรือมีโรคผิวหนัง ถ้าเกิดแผ่นหลุดให้แปะแผ่นใหม่เท่ากับจำนวนวันที่เหลือ และเพื่อป้องกันการรบกวนประสิทธิภาพกาวบนแผ่นปิด ไม่ควรใช้เครื่องสำอาง ครีม โลชั่น แป้งฝุ่น หรือเครื่องประทินผิวใดๆบนบริเวณผิวหนังที่จะปิดแผ่นยา ทั้งนี้ผู้ใช้ควรหมั่นตรวจสภาพการติดของแผ่นยาทุกวันด้วย
คำถามสำคัญคือ แปะยาคุมกอเอี๊ยะแล้วอาบน้ำ ว่ายน้ำได้หรือไม่ นพ.อรรณพ ให้ข้อมูลว่า “ไม่เป็นปัญหาโดยเฉพาะในประเทศเราซึ่งถือได้ว่าเป็นเมืองร้อนอาจมีอาการเหงื่อออกมากและมีความกังวลเรื่องของการระคายเคืองและการหลุดลอกของแผ่นเมื่อทำกิจกรรมอื่นร่วมไปด้วย เช่น การออกกำลังกาย เข้าฟิตเนส หรือการว่ายน้ำ ฯลฯ ทั้งนี้ได้มีการวิจัยในสตรีไทย 100 ราย ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ เราพบว่าผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้น เช่น การระคายเคืองของผิวหนังบริเวณที่ใช้แผ่นแปะพบน้อยมากและก็ไม่ได้มากไปกว่าสตรีชาวต่างประเทศโดยเฉพาะในแถบตะวันตกที่มีอากาศเย็น จึงไม่เป็นปัญหา สำหรับการทำกิจกรรมอื่นๆ ร่วมด้วยแต่อย่างใด”
สำหรับผลค้างเคียงของการใช้ยานั้น นพ.อรรณพ กล่าวว่า มีน้อยมาก ทั้งมีประสิทธิภาพและความปลอดภัยค่อนข้างสูง ความน่าเชื่อถือก็เหมือนกับยาเม็ดคุมกำเนิดทั่วไป แต่อาการข้างเคียงน้อยไม่เหมือนกับยาเม็ดเพราะไม่ต้องรับประทานเข้าไปได้ผลดี สมมุติว่าหากเราใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดตัวยาที่ใช้เมื่อเข้าไปในร่างกายจะไม่ค่อยสม่ำเสมอแต่ยาชนิดนี้เมื่อแปะบนผิวหนัง ตัวยาที่ร่างกายได้รับจะสม่ำเสมอกว่า อาการข้างเคียงก็จะไม่ค่อยมีอย่างเช่นเลือดออกผิดปกติก็จะพบน้อยมาก
นพ.อรรณพชี้ว่า การคุมกำเนิดคือส่วนหนึ่งของความรู้เรื่องเพศศึกษา ปัญหาที่สังคมไทยประสบประเภท ท้อง แท้ง ทิ้ง ส่วนใหญ่คือความไม่เข้าใจเรื่องการคุมกำเนิด ขณะที่การมีเพศสัมพันธ์กลับกลายเป็นเรื่องที่เกือบจะเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว ดังนั้นเพื่อป้องกันปัญหาที่เกิดจาการตั้งครรภ์ไม่พร้อม การสอนเรื่องเพศศึกษาจึงต้องทำอย่างมีประสิทธิภาพและคุณภาพด้วย
“สิ่งที่อยากจะบอกคือ ปัจจุบันวัยรุ่นไทยที่มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรและไม่รู้จักวิธีการคุมกำเนิดที่ดีพอมักจะใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินแบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์ สิ่งที่หมออยากเตือนไว้คือ ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินมีฮอร์โมนโปรเจสโตเจนอย่างเดียว ที่เป็นที่รู้จักกันดีก็คือ ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินที่มีหลายยี่ห้อในท้องตลาด ซึ่งส่วนใหญ่ไม่รู้จักวิธีการใช้ และมักใช้เป็นประจำซึ่งอันตรายมาก”
“หมออยากบอกว่า ยานี้ใช้เมื่อยามฉุกเฉินเท่านั้น หมายถึงยามที่ไม่ได้ตั้งใจจะมีเพศสัมพันธ์หรือไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน หรือคุมกำเนิดแบบอื่นแล้วเกิดผิดพลาด เช่น ถุงยางแตกขาด ไม่ใช้คุมกำเนิดประจำ ใช้มากกว่า 2 กล่องต่อเดือนก็อันตรายมาก ไม่ใช่ยาทำแท้ง การกินยา ให้กินหลังร่วมโดยกินเม็ดแรกโดยเร็วที่สุด หรือภายใน 72 ชั่วโมง แล้วอีก 12 ชั่วโมงกินเม็ด ที่เหลือเริ่มกินช้าประสิทธิภาพของยาก็จะลดลงตามชั่วโมงที่ผ่านไป ถ้ากินถูกต้อง ก็จะช่วยลดโอกาสตั้งครรภ์ลง 70 - 80 % หลังกินยา 4 – 5 วันอาจมีเลือดออกได้ แต่ไม่ได้เป็นกับทุกคน กินยานี้แล้วอาจทำให้รอบเดือนแปรปรวนไม่อาจคาดเดาได้”
...แม้ว่าปัจจุบันการใช้แผ่นแปะคุมกำเนิดจะยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก แต่เชื่อว่าในอนาคตจะเป็นที่นิยมอย่างมากเลยทีเดียว ทั้งนี้ยังจะได้มีการพัฒนาให้ดีขึ้นโดยการพัฒนาไปเป็นแบบใสให้ยากต่อการมองเห็นหรืออาจถูกพัฒนาไปในรูปแบบอื่นๆ ที่ให้เข้ากับยุคสมัยต่อไปในอนาคตก็ได้
คลินิครัก.คอม