
เรือดำน้ำ

เรือดำน้ำ
เรือดำน้ำลอยและจมได้ ก็เพราะแรงลอยตัว  ซึ่งเกิดจากน้ำ   มีค่าเท่ากับน้ำหนักของน้ำที่ถูกแทนที่  ตามกฎแรงลอยตัวของท่านอาร์คีมีดีส    แรงยกนี้มี่ทิศตรงกันข้ามกับแรงโน้มถ่วง  ซึ่งพยายามดึงเรือให้จมลง   เรือดำน้ำสามารถควบคุมขนาดของแรงลอยตัวได้   โดยจะให้ลอยอยู่ในระดับใต้น้ำลึกเท่าไรก็ได้ 
เรือดำน้ำใช้ถัง บัลลาสต์ ( ballast) ควบคุมการลอยตัว
ถ้าต้องการจม  ให้บรรจุน้ำจนเต็ม หรือไล่น้ำหรือดูดน้ำออก ถ้าต้องการจะลอย ยกตัวอย่างเช่น   ถ้าเราต้องการให้เรือดำน้ำลอยอยู่บนผิวน้ำ   จะต้องไล่น้ำออกจากถัง บัลลาสต์   และอัดอากาศเข้าไปแทนที่   ทำให้ความหนาแน่นทั้งหมดของเรือดำน้ำ  มีค่าน้อยกว่าน้ำ (แรงลอยตัวเป็นบวก)  มันจึงลอยน้ำ  แต่ถ้าต้องการให้เรือดำน้ำจม    เราจะอัดน้ำเข้าไปในถังบัลลาสต์ และ ระบายอากาศออกจนความหนาแน่นของเรือดำน้ำมากกว่าน้ำ  (แรงลอยตัวเป็นลบ)  มันจะจม  
อากาศที่ใช้ในการอัด
ได้มาจากถังบรรจุที่อัดด้วยความดันสูงเก็บไว้อยู่ภายในเรือ  ซึ่งอากาศนี้ใช้สำหรับการหายใจด้วย  เรือดำน้ำมีปีกทำหน้าที่เหมือนปีกเครื่องบิน  เรียกว่า  ไฮโดรเพลน ( hydroplanes )  มีไว้สำหรับการเคลื่อนที่  เช่นปักหัวลงทำมุม  45 องศาหรือเบนหัวเรือขึ้นเป็นต้น

เพื่อให้เรือดำน้ำลอยอยู่ในระดับความลึกที่ต้องการ
ผู้ควบคุมจะต้องรักษาปริมาตรของอากาศและน้ำในถัง บัลลาสต์ จนกระทั่งความหนาแน่นของเรือเท่ากับความหนาแน่นของน้ำ   (แรงยกเท่ากับแรงลอยตัว)   
ขณะที่ขับเคลื่อนเรือไปข้างหน้า
ปีกไฮโดรเพลนมีหน้าที่รักษาระดับของเรือดำน้ำให้การเคลื่อนที่ยังอยู่ในแนวระดับเสมอ หรือถ้าเราปรับปีกของไฮโดรเพลนให้ทำมุมกับแนวระดับ จะทำให้เรือเฉิดหัวขึ้น หรือดิ่งลงได้   เรือดำน้ำสามารถเลี้ยวไปมาโดยอาศัยหางเสือที่อยู่ทางด้านหลัง   เรือดำน้ำบางรุ่นมีมอเตอร์สามารถหมุนได้รอบ  360  องศา  ไว้สำหรับช่วยแรงขับของเครื่องยนตร์   
ถ้าต้องการให้เรือดำน้ำพุ่งขึ้นที่ผิวน้ำ
เราจะอัดอากาศจากถังเก็บเข้าไปในถัง บัลลาสต์   จนกระทั่งความหนาแน่นของเรือน้อยกว่าน้ำ  (แรงลอยตัวเป็นบวก)  ขณะที่เรือเคลื่อนที่  ให้เราปรับปีกไฮโดรเพลนทำมุมกับระดับจนเกิดแรงซึ่งมีลักษณะเหมือนกับ แรงยกตัวของปีกเครื่องบิน กดท้ายลง  และหัวพุ่งขึ้น  ทำให้มันพุ่งขึ้นเหนือน้ำ ในกรณีฉุกเฉิน  เราสามารถบรรจุอากาศเข้าไปในถังบัลลาสต์อย่างรวดเร็ว ทำให้เรือพุ่งขึ้นอย่างทันทีทันใดได้
ภายในเรือดำน้ำต้องมีสิ่งสำคัญที่มนุษย์ใช้ในการดำรงชีวิตอยู่ 3 สิ่งคือ
1. อากาศ
2. น้ำบริสุทธ์
3. อุณหภูมิ

อากาศ
อากาศที่เราใช้ในการหายใจ ประกอบด้วยก๊าซสำคัญ  4  ชนิดคือ
 ไนโตรเจน  ( 78 % )
 ออกซิเจน  ( 21% )
 อาร์กอน  ( 0.94 % )
 คาร์บอนไดออกไซด์  (  0.04 %)
เมื่อเราหายใจอากาศเข้าไป
ร่างกายของเราจะดูดกลืนออกซิเจน    และเปลี่ยนเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทำให้ขณะที่หายใจออก มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา 4.5 % เทียบกับก๊าซทั้งหมด  ส่วนก๊าซไนโตรเจนกับอาร์กอนร่างกายไม่ได้ใช้ จึงหายใจออกมาทั้งหมด
อันที่จริงเรือดำน้ำก็คือถังก๊าซขนาดใหญ่
โดยบรรจุคนอยู่ภายในเท่านั้นมีหลัก  3  ประการที่จะรักษาอากาศภายในเรือดำน้ำสำหรับหายใจไว้ดังนี้
1. ถ้าจำนวนเปอร์เซนต์ออกซิเจนลดลง  ต้องคอยเติมก๊าซออกซิเจนอยู่เสมอ  ไม่เช่นนั้นคนที่ปฏิบัติงานภายในจะหายใจไม่ออก
2. ขณะที่ปริมาณของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้น ต้องคอยดูดซับก๊าซนี้ออก 
3. ความชื้นจากการหายใจ  ต้องถูกดูดซับออกเช่นเดียวกัน

ก๊าซออกซิเจนได้มาจากถังเก็บภายในเรือ
หรือเครื่องทำก๊าซออกซิเจน ที่เรียกว่า ออกซิเจน เจนเนอเรเตอร์  (เป็นกระบวนการอิเล็กโตรลีซิสของน้ำ  โดยการแยกน้ำออกเป็นก๊าซไฮโดรเจนกับออกซิเจน) การควบคุมปริมาณออกซิเจนภายในเรือ ใช้คอมพิวเตอร์ตรวจวัดจำนวนเปอร์เซนต์ของออกซิเจนในอากาศ  เมื่อขาดไป ก็ปล่อยออกมาเป็นช่วงๆ 
 
คาร์บอนไดออกไซด์จะถูกดูดซับออกจากอากาศโดยใช้  สารโซดาไลม์  (Soda lime )  เรียกชื่อทางเคมีว่า โซเดียมไฮดรอกไซด์     
ส่วนความชื้นถูกดูดซับออกด้วยเครื่องดูดความชื้น
หรือโดยปฏิกิริยาทางเคมี   ส่วนก๊าซอื่นๆ เช่น คาร์บอนมอนอกไซด์   สามารถดึงออกได้โดยการเผาไหม้   และใช้แผ่นกรองดูดพวกอนุภาคฝุ่น สิ่งสกปรกออกจากอากาศ

น้ำบริสุทธ์
เรือดำน้ำขนาดใหญ่  มีเครื่องกลั่นน้ำที่สามารถทำน้ำจืดจากน้ำทะเลได้   กระบวนการกลั่นเริ่มต้นจากการที่ต้มน้ำให้กลายเป็นไอ แต่เกลือไม่ได้ระเหยตามน้ำไปด้วย    เมื่อไอน้ำเย็นตัว จะกลั่นเป็นน้ำจืด   เรือดำน้ำทั่วไปสามารถกลั่นน้ำจืดได้  38,000 -150,000  ลิตรต่อวัน อย่านึกว่ามาก  เพราะน้ำพวกไม่ได้เพียงแต่ใช้ดื่มอย่างเดียว  ยังนำไปใช้หล่อเย็นอุปกรณ์ทางไฟฟ้า และคอมพิวเตอร์ อีกด้วย
อุณหภูมิ
อุณหภูมิของน้ำทะเลโดยรอบประมาณ  39  องศาฟาเรนไฮต์  ( 4  องศาเซลเซียส)  เพราะโลหะที่ใช้ในการทำตัวเรือเป็นตัวนำความร้อนที่ดี  จึงทำให้อุณหภูมิภายในเรือลดลงอย่างรวดเร็ว   จึงต้องมีตัวทำความร้อนที่เพิ่มอุณหภูมิภายในเรือให้อยู่ในระดับที่ต้องการได้  พลังงานได้มาจากนิวเคลียร์   เครื่องยนต์ดีเซล   หรือแบตเตอรี่ (ในกรณีฉุกเฉิน)
ถ้าเรือดำน้ำจมลง เช่น
ชนเข้ากับตอปิโด   ระเบิดใต้น้ำ หรือแม้แต่การก่อวินาศกรรม  ลูกเรือจะทำการส่งวิทยุของความช่วยเหลือ   และปล่อยทุ่นขึ้นไปเหนือผิวน้ำบอกตำแหน่งที่เรือดำน้ำจม  ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับเหตุการณ์เฉพาะหน้าด้วย   ถ้าเป็นเตาปฏิกรณ์ระเบิด   และไม่สามารถใช้การได้   ผู้บังคับการสามารถเปลี่ยนมาใช้มอเตอร์โดยใช้พลังงานจากแบตเตอรี่อย่าง เดียว
เหตุการณ์ร้ายแรงต่อไปนี้ ที่ลูกเรือมีโอกาสที่จะต้องเผชิญคือ
 น้ำท่วมเรือ
 ออกซิเจนเหลือน้อย
 ปริมาณของคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้น
 แบตเตอรี่หมด  ระบบทำความร้อนเสียหาย   และอุณหภูมิภายในเรือลดลง

เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นผู้บังคับการ ต้องนำเรือขึ้นมาบนผิวน้ำให้เร็วที่สุด
แต่ถ้าไม่สามารถขึ้นได้  เครื่องมือช่วยเหลือเรียกว่า Deep - sumergence   rescue  vehicle  (DRSV)เป็นวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยชีวิตลูกเรือได้
DSRV สามารถเคลื่อนที่ไปหาเรือที่จม
และติดเข้ากับฝาของเรือดำน้ำ  สร้างฉนวนอากาศขึ้นโดยอัตโนมัติ   ทำให้ฝาเปิดได้ง่าย  ขนย้ายลูกเรือออกมา
หลังจากช่วยเหลือลูกเรือได้แล้ว  การยกเรือดำน้ำขึ้น  แพจะถูกวางไว้รอบเรือดำน้ำ และสูบอากาศเข้าไปในแพ   ยกเรือให้ลอยขึ้น  แต่นั่นจะต้องขึ้นอยู่กับสภาพการจมด้ว
ขอขอบคุณ   ข้อมูลที่มีประโยชน์จาก เว็บไซต์ Krmutt Library
เพื่อร่วมกันสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้บนโลกอินเตอร์เน็ต
ผู้มีบทความทางด้านวิทยาศาสตร์น่ารู้ 
สามารถส่งผลงานของท่านมาได้ที่ arunee@teeneemedia.com



  กระทู้ร้อนแรงที่สุดของวันนี้
























 กระทู้ล่าสุด


 รูปเด่นน่าดูที่สุดของวันนี้
















































Love illusion ความรักลวงตา เพลงที่เข้ากับสังคมonline
Love illusion Version 2คนฟังเยอะ จนต้องมี Version2กันทีเดียว
Smiling to your birthday เพลงเพราะๆ ไว้ส่งอวยพรวันเกิด หรือร้องแทน happybirthday