เหตุการณ์ที่อาจจะนำไปสู่วันสิ้นโลก!!

อุกาบาตชนโลก ดาว Apophis

เหตุการณ์ที่อาจจะนำไปสู่วันสิ้นโลก!!


จากการสำรวจของ NASA ปี ค.ศ. 2004 สรุปว่า Apophis จะโคจรใกล้โลก ในวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 2029 (พ.ศ.2572)อาจสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า บริเวณพื้นทียุโรป อัฟริกาและเอเชียตะวันตก(ความสว่างระดับ 3 mag.) มีโอกาสความเป็นไปได้ 1 ใน 300 ที่จะพุ่งชนโลก อย่างไรก็ตามจากการวิเคราะห์ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ได้ผลดังนี้
- ค.ศ. 2036 : 2.2e-05 = 0.002200000% หรือ 1 ใน 45,000 ที่จะพุ่งชนโลก
- ค.ศ. 2037 : 8.1e-08 = 0.000008100% หรือ 1 ใน 12,346,000 ที่จะพุ่งชนโลก

ซึ่งนักสิทยาศาสตร์หลายคนได้คลายกังวลไปได้มาก แต่ก็ไม่ชะล่าใจที่จะส่งดาวเทียมทำการเฝ้าระวังโดยการเตรียมรับมือกับเจ้า Apophis ตัวร้ายตัวนี้ไว้แล้ว

อะโพฟิสจะเฉียดโลกด้วยระยะห่าง เพียง 36,350 กิโลเมตร หรือคิดเป็น 5.7 เท่าของรัศมีโลก ใกล้กว่าดวงจันทร์เกือบ 11 เท่า ใกล้กว่าดาวเทียมค้างฟ้าหากพุ่งชนโลกจะก่อให้เกิดหายนะกับโลกขนาดไหนขึ้นอยู่กับ บริเวณที่พุ่งชน ถ้าชนพื้นโลกจะเกิดแอ่งกว้างราว 6 กิโลเมตร ถ้าชนในทะเลก็อาจทำให้เกิดคลื่นยักษ์สูง 3-22 เมตร และจะทำลายชายฝั่งที่อยู่ใกล้เคียงทั้งหมด" ...เป็นการระบุของนักวิทยาศาสตร์ในการประชุมขององค์การนาซาในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และความรุนแรงก็จะไม่ต่างกับระเบิดนิวเคลียร์ที่มีแรงทำลายล้างมหาศาล ยิ่งถ้าเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10 กิโล เมตรขึ้นไป จะถึงกับล้างเผ่าพันธุ์มนุษยชาติได้เลยทีเดียว !!!"

สงครามโลกครั้งที่ 3 นิวเคลียร์ล้างโลก

เหตุการณ์ที่อาจจะนำไปสู่วันสิ้นโลก!!


เมื่อมนุษย์ใช้ทรัพยากรธรรมชาติเรื่อยๆ อย่างไม่มีขีดจำกัด ทรัพยากรของโลกลดน้อยลง อาจจะนำมาซึ่งการช่วงชิงทรัพยากรธรรมชาติ อำนาจ เงินทองจนโลกเกิดภัยพิบัติด้วยน้ำมือของเหล่ามวลมนุษย์ ทุกชีวิตจะล้มตาย ส่วนที่เหลือ จะได้รับความลำบากทุกข์ยาก อย่างแสนเข็น ขาดแคลนทั้งเสบียง อาหาร น้ำดื่ม มนุษย์จะฆ่ากันเอง

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ อาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งจะถูกใช้เป็นเครื่องมือสำหรับสงครามโลกครั้งที่ 3 หรือไม่นั้น อย่างไรก็ตามหากประเทศมหาอำนาจ ต่างพากันบรรเลงหัวรบนิวเคลียร์ใส่กัน ผลกระทบที่ตามมาคือความหายนะทั้งใบของโลก การสูญสิ้นมวลมนุษยชาติ

ทุกวันนี้ อาวุธนิวเคลียร์สามารถสั่งการพร้อมปล่อยภายในเวลาไม่กี่วินาที และสามารถเดินทางข้ามโลกไปยังเป้าหมายได้ไกลหลาย 10,000 กิโลเมตร การระเบิดของนิวเคลียร์จำนวนมากจะทำให้เกิดกัมมันตรภาพรังสีตกค้าง อีกทั้งกลุ่มเขม่าควันจะไปบดบังดวงอาทิตย์ ทำให้อุณหภูมิของโลกลดลงอย่างรวดเร็ว พืชพันธ์ สัตว์ต่างๆจะสูญพันธุ์ในระยะเวลาอันสั้น มนุษย์ที่เหลือรอดจะขาดแคลนอาหารและน้ำ รวมไปถึงการกลายพันธุ์ของมนุษย์ และโลกต้องใช้กระบวนการสลายกัมมันตรภาพรังสีตกค้างอีกหลายร้อยปีเลยทีเดียว

รายนามประเทศที่ถือครองอาวุธนิวเคลียร์ในปัจจุบัน(เฉพาะที่เปิดเผย)
สหรัฐอเมริกา 12,000 หัว
รัสเซีย 22,500หัว
อังกฤษ 380 หัว
ฝรั่งเศษ 450 หัว
จีน 400 หัว
อินเดียและปากีสถาน12 -18หัว

สภาวะโลกร้อน น้ำท่วมโลก ยุคน้ำแข็งใหม่

เหตุการณ์ที่อาจจะนำไปสู่วันสิ้นโลก!!


ขณะที่ภาวะโลกร้อนเลวร้ายลงเรื่อยๆ ความเป็นไปได้ว่าน้ำแข็งในทวีปอาร์กติกจะละลาย อย่างน้อยก็ในช่วงฤดูร้อน ใกล้เป็นจริงขึ้นทุกทีผลพวงจากภาวะโลกร้อนยังเดินหน้าทำลาย พื้นที่หนาวเย็นต่อไป โดยล่าสุดสหประชาชาติอาจยกชื่อ “ยอดเขาเอเวอเรสต์” ในเทือกเขาหิมาลัยเข้าไปอยู่ในบัญชี “อันตราย” แล้วก็ว่าได้

ถึงแม้จากการคำนวณของนักวิทยาศาสตร์พบว่า การละลายของธารน้ำแข็งทั้งโลกไม่อาจทำให้น้ำท่วมแผ่นเปลือกโลกได้หมดก็ตาม แต่สิ่งที่น่ากังวลไม่ใช่ที่น้ำท่วมโลก แต่เป็นการรบกวนกวนของน้ำจืดที่เกิดจากการละลายของธารน้ำแข็ง ได้ไปรบกวนกระแสน้ำอุ่นในทะเล อันเป็นเหตุที่อาจทำให้เกิดหายนะอันใหญ่หลวง เมื่อกระแสน้ำอุ่นหยุดชะงัก อะไรจะเกิดขึ้นล่ะ? นักวิทยาศาสตร์ยังคงตั้งคำถามพร้อมกับความเครือบแครงใจ จากทฤษหากกระแสน้ำอุ่นหยุดชะงัก จะทำให็อุณหภูมิของโลกเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลับ โลกจะเข้าสู่สภาวะหนาวเย็น จะเกิดมหาพายุขึ้นทั่วโลก ซึ่งมีหลักฐานอ้างอิงคือซากแมมมอธที่ถูกแช่แข็ง ขณะที่กำลังเคี้ยวหญ้าในปากโดยทันที

มนุษย์และสัตว์จะต้องเผชิญกับโลกยุคน้ำแข็งใหม่นับจากนี้ไป ประชากรของโลกจะเหลือรอดเพียง 1 ใน 10 มนุษย์จะต้องอยู่อย่างหนาวเย็นทั่วโลกเป็นเวลายาวนานหลายพัน หมื่นปี จนกว่าโลกจะเข้าสู่สมดุลอีกครั้งหนึ่ง

มหาภูเขาไฟ Yellow Stone

เหตุการณ์ที่อาจจะนำไปสู่วันสิ้นโลก!!


ภูเขา ไฟเยลโลสโตนระเบิดครั้งแรกเมื่อ 2.1 ล้านปีก่อน และนักธรณีวิทยาเชื่อว่าวงจรการระเบิดอาจจะเกิดขึ้นในทุกๆ 600,000-700,000 ปี โดยครั้งหลังสุดเกิดขึ้นเมื่อ 640,000 ปีที่ผ่านมา ตัวเลขนี้ดูเหมือนว่าขณะนี้อยู่ในช่วงเวลาที่มันจะเกิดขึ้นอีกครั้งหรือผ่านไปแล้วก็ได้

ถ้าภูเขาไฟเยลโลสโตนระเบิดอีกครั้งมันจะมีความรุนแรงมากเพียงใด นักธรณีวิทยาบอกว่าลองเปรียบเทียบกับการระเบิดของภูเขาไฟเมาต์เซนต์เฮเลนส์ ในปี ค.ศ.1980 ดูก็แล้วกัน ภูเขาไฟเมาต์เซนต์เฮเลนส์พ่นเถ้าถ่านมากถึง 1.4 พันล้านคิวบิกหลาและปกคลุมพื้นที่มากกว่า 22,000 ตารางไมล์ แต่การระเบิดของภูเขาไฟเยลโลสโตนเมื่อ 640,000 ปีก่อนนั้นพ่นเถ้าถ่านมากกว่าถึง 8,000 เท่า และนี่ก็ยังไม่ใช่การระเบิดที่รุนแรงที่สุดของมันด้วย

ผลกระทบที่ตามมาขจากการที่ภูเขาไฟเยลโล่สโตนปะทุ จำทำให้เถ้าควันที่ปล่อยออกมาปกคลุมท้องฟ้าทั่วทั้งโลก ส่งผลให้โลกเข้าสู่ความมืดมิดและอุณหภูมิของโลกจะลดลงอย่างรวดเร็ว ทุกชีวิตจะเหลือรอดแค่ 10 เปอเซนต์ และมีชีวิตอยู่อย่างโหดร้ายท่ามกลางโลกที่เต็มไปด้วยฝุ่นควันและมลพิษ ฝนที่ตกลงมาจะทำให้เกิดน้ำกรดผสมกับฝุ่นควันและซัลเฟอร์ทำให้น้ำเป็นพิษทั่วทั้งโลก

แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญภูเขาไฟส่วนใหญ่จะมีความเห็นตรงกันว่าภูเขาไฟเยลโลสโตน อาจจะ ระเบิดได้อีกครั้ง แต่ก็คงจะอีกนานมาก หรือไม่ระเบิดเลยอีกเลยก็ได้ แต่เพื่อความไม่ประมาทวันนี้มันกำลังถูกศึกษาอย่างใกล้ชิดมากขึ้น



การพลิกกลับขั้วของแกนแม่เหล็กโลก

เหตุการณ์ที่อาจจะนำไปสู่วันสิ้นโลก!!

ทฤษฏีนี้อาจจะดูไร้สาระไปสำหรับบางคน แต่มันเคยเกิดขึ้นจริงแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ และไม่ใช่กำลังจะเกิดใน ค.ศ. 2012 หากแต่เกิดขึ้นตลอดเวลา แม้แต่ตอนนี้ก็เกิด นักวิทยาศาสตร์ทราบว่าขั้วแม่เหล็กโลกมีการเคลื่อนที่ตั้งแต่ที่ค้นพบขั้วเหนือ แม่เหล็กโลกเมื่อกว่าศตวรรษก่อนแล้ว การเคลื่อนที่นี้เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ด้วยอัตราเฉลี่ยประมาณ 1 องศาต่อ 1 ล้านปีหรืออาจเร็วกว่านั้น

แต่จากแบบจำลองทางคอมพิวเตอร์ของ Hyderabad กลับพบว่าการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กของโลกและดวงอาทิตย์นั้นสามารถที่จะก่อให้เกิดปัญหาตามมาอย่างรุนแรงที่มากไปกว่าแค่การทำงานผิดพลาดของอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์เท่านั้นพายุอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าอาจพุ่งชนดาวเทียมที่กำลังโคจรอยู่รอบโลกจนทำให้ดาวเทียมหลุดกระเด็นออกจากวงโคจรได้ และถ้าอนุภาคเหล่านี้พุ่งชนสายไฟฟ้าบนโลก ไฟฟ้าในเมืองทั้งเมืองก็อาจจะดับ ดังเช่นเหตุการณ์ไฟฟ้าดับที่เมือง Quebec ในประเทศ คานาดาเป็นเวลานาน 9 ชั่วโมง เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2532 เพราะโลกถูกพายุสุริยะจากดวงอาทิตย์พัดกระหน่ำอย่างรุนแรง พวกนกที่อพยพย้ายถิ่นอยู่ตามฤดูกาลจะสูญเสียประสาทสัมผัสในการกำหนดทิศทางและอื่นๆตามมาอีก เช่น
- ระบบภูมิคุ้มกันโรคในบรรดาสัตว์ต่างๆรวมถึงมนุษย์จะอ่อนแอลง
- โลกจะประสบกับการเพิ่มความถี่ของการเกิดภูเขาไฟระเบิด,การเคลื่อนตัวของเปลือก โลก, แผ่นดินไหว และแผ่นดินถล่มที่จะมีมีสูงขึ้นกว่าปรกติ
- สภาวะความเป็นแม่เหล็ก (Magnetosphere)ของโลกจะอ่อนตัวลงและการแผ่รังสีคอสมิคจากดวงอาทิตย์จะเพิ่มปริมาณขึ้นและก่อให้เกิดอันตรายจากการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเช่น มะเร็งและอื่นๆ อีก ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
-กลุ่มเทหวัตถุในอวกาศขนาดใหญ่จะถูกดึงดูดเข้ามายังโลกอย่างมากมาย
-แรงดึงดูดของโลกจะประสบกับการเปลี่ยนแปลงซึ่งไม่มีใครรู้ว่ามันจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์