เรื่องจริง !! น้ำตาลทำให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้า !!
หากคุณเป็นผู้หนึ่งที่ต้องการลดน้ำหนักหรือลดรอบเอวแต่รู้สึกว่ายังเลิกทานน้ำตาลไม่ได้ ลองคิดเพิ่มอีกนิดว่าอยากให้ผิวสวยเผื่อจะช่วยให้ทานน้ำตาลได้น้อยลงนะครับ หรือหากเลิกทานไม่ได้จริง ๆ บางคนอาจบอกว่าจะหันไปหายาเม็ดรสขมแทนซึ่งไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเลยครับเพราะนักวิทยาศาสตร์เค้าออกมาบอกว่า ระยะเวลาที่เราทานน้ำตาลมากไปต่างหากที่ทำให้ผิวหมองคล้ำและเป็นริ้วรอย ดังนั้นมาเลิกหันไปหายาเม็ดลดน้ำตาลชั่วครั้งชั่วคราวกันเถอะครับ
ที่ไม่ให้ทานน้ำตาลมากไปนั้นเป็นเพราะในร่างกายมีกระบวนการธรรมชาติตกแต่งโปรตีนที่สังเคราะห์ขึ้นมาด้วยน้ำตาลเรียกว่า glycation
กระบวนการนี้จะทำให้น้ำตาลที่ไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือดไปเกาะกับโปรตีนในร่างกายกลายเป็นโมเลกุลชนิดใหม่ขึ้นมา เรียกโมเลกุลนี้ว่า advanced glycation end products (หรือเรียกย่อ ๆ ว่า AGEs) ยิ่งทานน้ำตาลเข้าไปมากเท่าไรก็มีเจ้า AGEs มากขึ้นเท่านั้นล่ะครับ ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง Fredric Brandt บอกว่าร้ายไปกว่านั้นเจ้า AGEs ที่สั่งสมมากขึ้นจะทำลายโปรตีนใกล้เคียงแบบโดมิโนล้มต่อกันทั้งกองทัพเรียกได้ว่าประเมินมูลค่าไม่ได้เลยเพราะโปรตีนที่มันจ้องจะทำลายก็คือ คอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งเป็นโปรตีนไฟเบอร์ที่ทำให้ผิวกระชับและยืดหยุ่น ที่จริงแล้วโปรตีนที่มีมากที่สุดในร่างกายก็คือ คอลลาเจน นี่แหละครับ เมื่อโดนทำลายก็จะสูญเสียสภาพยืดหยุ่นและการฟื้นคืนสู่สภาพเดิมกลายเป็นคอลลาเจนและอีลาสตินที่แห้งและแข็งทำให้เกิดริ้วรอย เหี่ยวย่นและหย่อนยานขึ้นครับผลที่สะสมจะแสดงออกเมื่ออายุ 35 ปี หลังจากนั้นจะแสดงออกอย่างรวดเร็ว งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ในวารสาร the British Journal of Dermatology ครับ
Brandt กล่าวว่าการทานอาหารที่มีน้ำตาลมากจะทำลายคอลลาเจนต้านการเกิดริ้วรอยชนิดอื่น ๆ ไปด้วย
คอลลาเจนในร่างกายนั้นมีหลายชนิด ชนิดที่พบมากในผิวคือ คอลลาเจนชนิดที่ 1, 2 และ 3 ซึ่งชนิดที่ 3 เป็นชนิดที่มีอายุการทำงานนานที่สุด glycation จะเปลี่ยนคอลลาเจนชนิดที่ 3 ให้กลายเป็นชนิดที่ 1 ซึ่งแตกหักได้ง่ายกว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นจะรู้สึกว่าผิวนุ่มน้อยลง ความเสียหายสุดท้ายที่ AGEs จะสร้างขึ้นคือทำให้เอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระไม่ทำงานทำให้ผิวของคุณถูกทำลายจากแสงแดดที่แผดเผามากขึ้นอันเป็นสาเหตุหลักของการแก่ชราของผิว
จะว่าไปแล้วผลของการมีน้ำตาลมากไปอาจเห็นได้อย่างเด่นชัดในผู้ป่วยโรคเบาหวานซึ่งเป็นผลพวงของการมีน้ำตาลในเลือดมากและมักจะมีความผิดปกติของผิวแสดงให้เห็นแต่เนิ่น ๆ ขึ้นกับว่าผู้ป่วยจะควบคุมโรคได้มากน้อยเพียงใด ผู้เป็นโรคเบาหวานอาจมี AGEs ในผิวมากกว่าคนปกติถึง 50 เท่า
ข่าวดีสำหรับผู้ที่ต้องการหยุดยั้งการทำลายผิวของน้ำตาลครับ เพราะไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาสุขภาพ วิธีหนึ่งที่ช่วยฟื้นฟูคอลลาเจนได้คือ ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเรตินอยด์ แต่วิธีที่ดีที่สุดก็คือการเลิกทานน้ำตาลมากไปเพื่อลดการทำลายสภาพผิวครับ อาจค่อย ๆ ลดเป็นขั้น ๆ ไปก็ได้ครับ สุดท้ายนี้ผมมีวิธีกินเพื่อรักษาผิวพรรณให้อ่อนวัยมาลองทำกันครับ
1.ลดการทานอาหารหวาน
ไม่ง่ายเลยใช่มั้ยครับที่จะตัดน้ำตาลออกไปจากชีวิตซะทีเดียว เพราะแม้ว่าเราจะทานธัญพืช ผัก ผลไม้ เมื่อทานเข้าไปแล้วก็จะถูกเปลี่ยนเป็นกลูโคสอยู่ดี ซึ่งเป็นอีกตัวการหนึ่งที่ผลักดันให้เกิด glycation เฮ้อ เลี่ยงไม่ได้เลยใช่มั้ยครับ แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่เราเลี่ยงได้คือการไม่เติมน้ำตาลลงไปในอาหารครับ โดยมีข้อแนะนำว่า
ห้ามเติมน้ำตาลมากกว่า 10% ของแคลอรีทั้งหมด หากคุณเป็นผู้หญิงอายุ 45 ปี สูงประมาณ 5 ฟุต 4 นิ้ว (160 เซนติเมตร) ก็หมายความว่าอย่าทานน้ำตาลเกิน 160 แคลอรี หรือ 10 ช้อนชา หรือประมาณโค้กกระป๋องขนาด 12 ออนซ์ ถ้าเป็นช็อกโกแลตเฮอร์เช Hershey's Kisses ก็ทานได้แค่ 6 อัน โดยเฉลี่ยแล้วชาวอเมริกันทานน้ำตาลกันวันละประมาณ 31 ช้อนชาหรือคิดเป็น 465 แคลอรี
หากมองเห็นน้ำตาลในอาหารได้เราคงเลี่ยงอาหารนั้น ๆ ไปนานแล้ว อาหารบางชนิดแปะบนฉลากส่วนประกอบอาหารก็มีน้ำตาลมากเกินที่เราคิดกันครับ อย่างเช่น มอลต์บาร์เลย์ corn syrup เด็กซ์โตรส น้ำผลไม้เข้มข้น มอลโตส maple syrup molasses turbinado สิ่งสำคัญก็คือเราควรรู้ว่าส่วนประกอบเหล่านี้มีอยู่ในอาหารที่ทานกี่ช้อนชา ซึ่งทำได้ง่าย ๆ ดังนี้คือ เช็คน้ำตาลที่เป็นส่วนผสมบนป้ายบอกส่วนประกอบในหน่วยกรัมตรงส่วนที่เขียนว่า คาร์โบไฮเดรตรวม แล้วหารตัวเลขนั้นด้วย 4 เพื่อเปลี่ยนเป็นหน่วยช้อนชา (เนื่องจากน้ำตาลแต่ละช้อนชาเท่ากับ 4 กรัม) เช่น หากป้ายเขียนว่ามีน้ำตาล 12 กรัม ก็หมายความว่าเราทานน้ำตาลในอาหารนั้นไป 3 ช้อนชาต่อครั้ง
อีกอย่างที่ควรเลี่ยงก็คือ fructose corn syrup น้ำตาลชนิดนี้ได้จากการเปลี่ยนแป้งในข้าวโพดเป็นฟรุคโตสซึ่งเป็นน้ำตาลอีกรูปหนึ่ง น้ำตาลชนิดนี้จะทำให้เกิด AGEs มากกว่าน้ำตาลชนิดอื่น ๆ ช่วยยืดอายุของอาหาร หวานกว่าและถูกกว่าน้ำตาลชนิดอื่น พบน้ำตาลชนิดนี้เป็นส่วนผสมในโซดา น้ำผลไม้ และอาหารประเภท ขนมปัง แครกเกอร์หรือขนมขบเคี้ยว สามารถสังเกตส่วนประกอบของน้ำตาลได้ในป้ายโภชนาการนะครับ
2. เติมวิตามินบี1 และบี6 ในอาหารที่ทานทุกวันอย่างน้อยวันละ 1 มิลลิกรัม
วิตามินเหล่านี้เป็นตัวยับยั้งการสร้างAGE ที่มีประสิทธิภาพ วิตามินบี1 และบี6 พบได้ในอาหารทั่วไป แต่อาหารทั่วไปจะมีวิตามินในรูปวิตามินรวม ซึ่งเราจะได้วิตามินบีทั้งสองชนิดรวมแล้วประมาณ 1 มิลลิกรัมครับ หากจะให้ดีก็ทานวิตามินบี1 อย่างน้อยวันละ 1.1 มิลลิกรัม วิตามินบี 6 1.3 มิลลิกรัม หากคุณอายุเกิน 50 ปีไปแล้วปรับเป็น 1.5 มิลลิกรัมจะดีมาก ๆ ครับ
3. ทาครีมกันแดด SPF 30 ทุกวัน
พบว่าผิวที่โดนแดดจะสร้าง AGE มากกว่าผิวที่ได้รับการปกป้อง
4. ต้านอนุมูลอิสระทั้งภายในและภายนอก
สารต้านอนุมูลอิสระจะช่วยต่อสู้กับโปรตีนที่โดนน้ำตาลเกาะ สามารถหาสารอนุมูลอิสระทั้งหลายได้จากอาหารที่ทาน เช่น ผลไม้ นัท ผักจำพวกต่าง ๆ เช่น แคนเบอรี วอลนัท และพริกไทยแดง
อีกวิธีหนึ่งคือการทาสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ชาเขียว วิตามินซีและวิตามินอี ซึ่งถือเป็นวิธีที่ช่วยรักษาผิวได้อย่างแท้จริงเพราะมั่นใจได้ว่าสารต้านอนุมูลอิสระจะซึมเข้าสู่ผิวชั้นที่มีคอลลาเจนและอีลาสตินอยู่
5. ใช้ผลิตภัณฑ์ช่วยปกป้องผิวจากน้ำตาล
ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบเป็น aminoguanidine และ alistin ช่วยปกป้องผิวจาก AGEs ได้ Aminoguanidine จะเข้าไปเกาะกับโมเลกุลเริ่มต้นการเกิด glycation และป้องกันไม่ให้โมเลกุลเหล่านี้ไปเกาะกับคอลลาเจนและอีลาสติน ส่วน Alistin จะทำหน้าที่เป็นตัวล่อ ยอมเสียสละโดนถูกทำลายแทนโปรตีนในชั้นผิวหนังของเรา ในโลชันกันแดดประเภท Anti-AGE Advanced Protection Lotion SPF 25 จะมีส่วนประกอบทั้งสองอย่างอยู่ครับ จากการทดสอบพบว่าผิวที่ทาโลชันนี้เป็นเวลามากกว่า 8 สัปดาห์ จะมี AGE น้อยกว่าผิวที่ไม่ได้ทา 21% ครับ
ที่มา http://www.msnbc.msn.com/id/21257751/
จากวิชาการดอทคอม