สำหรับผู้ที่ต้องการมีอายุยืน
สำหรับผู้ที่ต้องการมีอายุยืน
เป็นธรรมดาของชีวิตที่เกิดมาแล้วก็ต้องตาย ไม่อาจมีผู้ใดหนีรอดไปจากความตายได้ แต่ถึงกระนั้นคนทั้งหลายก็ไม่อยากตาย อยากให้มีอายุมั่นขวัญยืนด้วยกันทุกคน มีการวิจัยพบว่า การตายตามรรมชาติของคนเรามีถึงร้อยละ 70 ที่ตายในเวลาเช้าตรู่ มีเพียงร้อยละ 30 เท่านั้นที่ตายในเวลาอื่น ดังนั้นถ้ามีวิธีทำให้ไม่ตายในเวลาเช้าตรู่ได้ก็จะเป็นหนทางหนึ่งที่ทำให้ชีวิตยืนยาว
ผลจากการวิจัยปรากฏว่า เหตุที่คนมีโอกาสตายในตอนเช้าตรู่มากกว่าเวลาอื่นก็เพราะในขณะที่คนนอนหลับนั้นน้ำตาลในเลือดต่ำ
การทำงานของหัวใจและระบบต่าง ๆ ของร่างกายได้ชะลอตัวลง มีเพียงประมาณร้อยละ 15 เท่านั้นที่ยังคงทำงานตามปกติ ดังนั้นเมื่อตื่นขึ้นในตอนเช้า หัวใจและระบบทั้งหลายของร่างกายจึงยังไม่พร้อมที่จะทำงานในทันที เหมือนรถที่จอดนิ่งอยู่จะสตาร์ตแล้ววิ่งไปในทันใดก็จะตะกุกตะกักชะงักงัน
แต่ร่างกายของคนเรานั้นผิดจากรถที่เครื่องตะกุกตะกักหรือดับแล้วก็สตาร์ตใหม่ได้
เพราะคนเราเมื่อตื่นขึ้นมาก็มักจะพรวดพราดลุกขึ้น จึงทำให้ระบบต่าง ๆ เร่งทำงานอย่างรวดเร็ว จึงทำให้ผู้มีอายุเลยวัย 40 ปีปรับตัวไม่ทัน จึงเกิดอาการหัวใจวายบ้าง หน้ามืดเป็นลมตายไปบ้าง หรือไม่ก็หกล้มตายบ้าง นี่เป็นเหตุผลที่คนตายตามธรรมชาติถึงแก่ความตายในเวลาเช้าตรู่ถึงร้อยละ 70 เมื่อเทียบกับการตายในเวลาอื่น เพราะตื่นแล้วรีบพรวดพราดลุกขึ้นโดยที่ระบบต่าง ๆ ของร่างกายยังไม่พร้อม แล้วเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายนั่นเอง
เพราะเหตุนี้เองเมื่อทราบผลวิจัยแล้ว จึงมีการคิดหาวิธีป้องกันเหตุไม่ให้ตายในเวลาเช้าตรู่ ซึ่งสามารถทำได้ เพราะสรรพสิ่งนั้นย่อมเกิดแต่เหตุ เมื่อแก้ที่เหตุได้แล้วก็จะแก้ที่ผลได้ด้วย ตรงกับพุทธภาษิตที่ว่า "เยธัมมา เหตุปัพพะวา เตสังเหตุง ตะถาคะโต เตสันจะโย นิโรโธจะ เอวังวาที มหาสมะโน" ซึ่งแปลว่า ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ พระตถาคตได้ตรัสถึงเหตุแห่งธรรมนั้นและความดับแห่งธรรมนั้น
นั่นคือใช้วิถีทางแห่งพระพุทธศาสนาตามพระพุทธพจน์ในการป้องกันมิให้ถึงแก่ความตายในเวลาเช้าตรู่
วิธีการที่เสนอก็คือ เมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้นแล้วอย่าเพิ่งรีบลุก ให้เริ่มต้นด้วยการสูดลมหายใจเข้าออกลึกสัก 4-5 ครั้ง พร้อมกับรำลึกว่าเรานี้โชคดีหนอ ยังไม่ตายและยังมีชีวิตอยู่เพื่อที่จะได้ทำความดี ทำประโยชน์ตนประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทต่อไป เป็นการเจริญธรรมแห่งความไม่ประมาทได้อีกทางหนึ่งและทำให้จิตสงบเย็น ยกระดับภูมิธรรมแห่งจิตไปทีละขั้นอีกทางหนึ่งด้วย
ถัดจากนั้นก็ให้พลิกตัวซ้ายขวาสลับกันอย่างช้า ๆ สัก 3-4 ครั้ง แล้วค่อย ๆ ยกขาทั้งสองข้างขึ้นลงสลับกันอีก 3-4 ครั้ง จะว่าเป็นการวอร์มร่างกายทำให้ระบบต่าง ๆ ของร่างกายค่อย ๆ ทำงานเป็นปกติจนมีความพร้อมแล้วจึงค่อยลุกขึ้น ก็จะทำให้ไม่ตายในเวลาเช้าตรู่ได้
คนที่มีอายุเกินกว่า 40 ปี จำนวนหนึ่งมักจะตื่นในตอนดึก เข้าห้องน้ำปัสสาวะบ้าง หรือตื่นขึ้นเพราะฝันร้ายบ้าง บางคนตกใจตื่นขึ้นก็รู้สึกเหนื่อย แล้วพาลหัวใจวายตายไปก็มี ทั้งนี้ก็เป็นเพราะมีมาแต่เหตุดังได้แสดงข้างต้นนั่นเอง
วิธีการดังที่ได้เสนอจึงสามารถใช้คุ้มรักษาตัวได้เป็นอย่างดี จึงนำมาแสดงไว้ในที่นี้เพื่อให้ทุกท่านที่สนใจได้นำไปลองปฏิบัติหรือถ้าท่านยังมีวัยไม่ถึง 40 ปี รู้แล้วก็ใช่ว่าจะเปล่าประโยชน์เสียทีเดียว เอาไว้ใช้ในวันหน้า หรือบอกเล่าให้แก่ญาติผู้ใหญ่นำไปปฎิบัติก็มีแต่จะเป็นกุศลแก่ตัว ลองดูนะค่ะ
ขอขอบคุณแหล่งที่มา : หนังสือ "อายุวัฒนะ" โดยนายไพศาล พืชมงคล หน้า 91 - 94
เป็นธรรมดาของชีวิตที่เกิดมาแล้วก็ต้องตาย ไม่อาจมีผู้ใดหนีรอดไปจากความตายได้ แต่ถึงกระนั้นคนทั้งหลายก็ไม่อยากตาย อยากให้มีอายุมั่นขวัญยืนด้วยกันทุกคน มีการวิจัยพบว่า การตายตามรรมชาติของคนเรามีถึงร้อยละ 70 ที่ตายในเวลาเช้าตรู่ มีเพียงร้อยละ 30 เท่านั้นที่ตายในเวลาอื่น ดังนั้นถ้ามีวิธีทำให้ไม่ตายในเวลาเช้าตรู่ได้ก็จะเป็นหนทางหนึ่งที่ทำให้ชีวิตยืนยาว
ผลจากการวิจัยปรากฏว่า เหตุที่คนมีโอกาสตายในตอนเช้าตรู่มากกว่าเวลาอื่นก็เพราะในขณะที่คนนอนหลับนั้นน้ำตาลในเลือดต่ำ
การทำงานของหัวใจและระบบต่าง ๆ ของร่างกายได้ชะลอตัวลง มีเพียงประมาณร้อยละ 15 เท่านั้นที่ยังคงทำงานตามปกติ ดังนั้นเมื่อตื่นขึ้นในตอนเช้า หัวใจและระบบทั้งหลายของร่างกายจึงยังไม่พร้อมที่จะทำงานในทันที เหมือนรถที่จอดนิ่งอยู่จะสตาร์ตแล้ววิ่งไปในทันใดก็จะตะกุกตะกักชะงักงัน
แต่ร่างกายของคนเรานั้นผิดจากรถที่เครื่องตะกุกตะกักหรือดับแล้วก็สตาร์ตใหม่ได้
เพราะคนเราเมื่อตื่นขึ้นมาก็มักจะพรวดพราดลุกขึ้น จึงทำให้ระบบต่าง ๆ เร่งทำงานอย่างรวดเร็ว จึงทำให้ผู้มีอายุเลยวัย 40 ปีปรับตัวไม่ทัน จึงเกิดอาการหัวใจวายบ้าง หน้ามืดเป็นลมตายไปบ้าง หรือไม่ก็หกล้มตายบ้าง นี่เป็นเหตุผลที่คนตายตามธรรมชาติถึงแก่ความตายในเวลาเช้าตรู่ถึงร้อยละ 70 เมื่อเทียบกับการตายในเวลาอื่น เพราะตื่นแล้วรีบพรวดพราดลุกขึ้นโดยที่ระบบต่าง ๆ ของร่างกายยังไม่พร้อม แล้วเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายนั่นเอง
เพราะเหตุนี้เองเมื่อทราบผลวิจัยแล้ว จึงมีการคิดหาวิธีป้องกันเหตุไม่ให้ตายในเวลาเช้าตรู่ ซึ่งสามารถทำได้ เพราะสรรพสิ่งนั้นย่อมเกิดแต่เหตุ เมื่อแก้ที่เหตุได้แล้วก็จะแก้ที่ผลได้ด้วย ตรงกับพุทธภาษิตที่ว่า "เยธัมมา เหตุปัพพะวา เตสังเหตุง ตะถาคะโต เตสันจะโย นิโรโธจะ เอวังวาที มหาสมะโน" ซึ่งแปลว่า ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ พระตถาคตได้ตรัสถึงเหตุแห่งธรรมนั้นและความดับแห่งธรรมนั้น
นั่นคือใช้วิถีทางแห่งพระพุทธศาสนาตามพระพุทธพจน์ในการป้องกันมิให้ถึงแก่ความตายในเวลาเช้าตรู่
วิธีการที่เสนอก็คือ เมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้นแล้วอย่าเพิ่งรีบลุก ให้เริ่มต้นด้วยการสูดลมหายใจเข้าออกลึกสัก 4-5 ครั้ง พร้อมกับรำลึกว่าเรานี้โชคดีหนอ ยังไม่ตายและยังมีชีวิตอยู่เพื่อที่จะได้ทำความดี ทำประโยชน์ตนประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทต่อไป เป็นการเจริญธรรมแห่งความไม่ประมาทได้อีกทางหนึ่งและทำให้จิตสงบเย็น ยกระดับภูมิธรรมแห่งจิตไปทีละขั้นอีกทางหนึ่งด้วย
ถัดจากนั้นก็ให้พลิกตัวซ้ายขวาสลับกันอย่างช้า ๆ สัก 3-4 ครั้ง แล้วค่อย ๆ ยกขาทั้งสองข้างขึ้นลงสลับกันอีก 3-4 ครั้ง จะว่าเป็นการวอร์มร่างกายทำให้ระบบต่าง ๆ ของร่างกายค่อย ๆ ทำงานเป็นปกติจนมีความพร้อมแล้วจึงค่อยลุกขึ้น ก็จะทำให้ไม่ตายในเวลาเช้าตรู่ได้
คนที่มีอายุเกินกว่า 40 ปี จำนวนหนึ่งมักจะตื่นในตอนดึก เข้าห้องน้ำปัสสาวะบ้าง หรือตื่นขึ้นเพราะฝันร้ายบ้าง บางคนตกใจตื่นขึ้นก็รู้สึกเหนื่อย แล้วพาลหัวใจวายตายไปก็มี ทั้งนี้ก็เป็นเพราะมีมาแต่เหตุดังได้แสดงข้างต้นนั่นเอง
วิธีการดังที่ได้เสนอจึงสามารถใช้คุ้มรักษาตัวได้เป็นอย่างดี จึงนำมาแสดงไว้ในที่นี้เพื่อให้ทุกท่านที่สนใจได้นำไปลองปฏิบัติหรือถ้าท่านยังมีวัยไม่ถึง 40 ปี รู้แล้วก็ใช่ว่าจะเปล่าประโยชน์เสียทีเดียว เอาไว้ใช้ในวันหน้า หรือบอกเล่าให้แก่ญาติผู้ใหญ่นำไปปฎิบัติก็มีแต่จะเป็นกุศลแก่ตัว ลองดูนะค่ะ
ขอขอบคุณแหล่งที่มา : หนังสือ "อายุวัฒนะ" โดยนายไพศาล พืชมงคล หน้า 91 - 94
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!