จากประชาชาติธุรกิจ ฉบับ วันที่30 มค 2549
 คอลัมน์ เศรษฐีพันธุ์ใหม่
"...ชีวิตของผมบอกได้เลยว่ายืนขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง..."
นี่คือคำสรุปสั้นๆ ของชีวิตหนุ่มวัยฉกรรจ์ที่ถูกยกให้เป็นหนึ่งในมนุษย์มหัศจรรย์พันธุ์ใหม่
มหัศจรรย์ด้วยระบบความคิดที่ฉีกกรอบ
มหัศจรรย์ด้วยความ "บ้า" ที่ "กล้า" จะ "คิด" จะ "ฝัน" และ "ลงมือ"
เป็นความมหัศจรรย์ของคนพิเศษที่ชื่อ "สมชาย ชีวสุทธานนท์" หรือที่ รู้จักในนาม "ตี๋ แม็ทชิ่ง" 
จากธุรกิจที่เริ่มด้วยโทรศัพท์เพียงเครื่องเดียว ณ วันนี้เขาต่อยอดจนบริษัทมีสินทรัพย์ 963.60 ล้านบาท และเติบโตในตลาดหลักทรัพย์ไทยในชื่อของ บริษัท แม็ทชิ่ง สตูดิโอ จำกัด (มหาชน) 
ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นอันดับ 2 ที่ 18.65% หรือ 38,764,783 หุ้น หากจะตีเป็นมูลค่าตามราคาตลาดในวันนี้อาจดูเหมือน "ตี๋ แม็ทชิ่ง" จะสะสมความมั่งคั่งไม่หวือหวาสักเท่าไร เพราะหากขายหรือแปลงเป็นเม็ดเงินออกมาอาจอยู่ในราว 77,526,566 บาทเท่านั้น !
แต่มูลค่าที่แท้จริงดูเหมือนจะอยู่ที่ความพิเศษ พิสดาร จากเส้นทางการเติบโตของเขา รวมถึงวิธีคิด แนวทางการทำธุรกิจของเถ้าแก่พันธุ์ใหม่ที่กลายเป็นต้นแบบหรือแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ก้าวเดินตามมาอีกเป็นจำนวนมาก 
สมชายหรือ "ตี๋" เป็นลูกจีนในครอบครัวใหญ่ มีพ่อเป็นเจ้าของโรงงานเล็กๆ ทำเข็มหมุด ที่หนีบกระดาษ และตะกั่วถ่วงแห อวน ที่ถูกโชคชะตาเล่นตลกตั้งแต่เล็กกำหนดให้เขาต้องเป็นโปลิโอที่แขนขวาตั้งแต่อายุ 4 ขวบ
หากเป็น "โปลิโอ" ที่สร้างให้เขาเป็นอะไรได้มากมายในชีวิต เป็น "ลูกเป็ดขี้เหร่" ของครูที่โรงเรียนพรประสาทวิทยา และเป็นปมด้อยที่สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจในวัยกระเตาะ 
ปมด้อยที่ทำให้เขาเจ็บและผูกแค้น ลูกเป็ดขี้เหร่ที่น่ารักของครูเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ก้าวร้าว เกเร หนีเรียน เที่ยวกลางคืน ขโมยเงินพ่อ ตีรันฟันแทง ฯลฯ
กลายเป็นเด็กอันธพาลที่ผลการเรียนร่วงกราวรูด คะแนนสอบเหยียบเส้นยาแดงผ่าแปด 
หนึ่งในจุดพลิกผันที่ฉุดให้เขาไม่เตลิดไปไกลกว่านั้นน่าจะเป็นการตัดสินใจเลือกเส้นทางและสภาพแวดล้อมที่ตรงกับความรักชอบของตัวเอง
"ตี๋" ค้นพบตัวเองว่าเขารักงานศิลป์ แม้ในความเป็นจริงเขาจะเรียนที่ พาณิชย์พระนคร 
อย่างน้อยบรรยากาศที่นั่นหล่อหลอมเขาในหลายเรื่อง เขาเป็นทั้งประธานเชียร์ เป็นประธานนักเรียนซึ่งแม้จะถูกกล่าวขวัญว่าเฮี้ยวที่สุด แต่ก็จุดประกายความคิดใหม่ๆ ความรักเพื่อนพ้อง และรับผิดชอบในกลุ่มก้อนของตัวเอง
ขณะเดียวกัน ก็เริ่มแสวงหาอาชีพให้ตัวเองจากเซลส์แมนสู่การเป็นเด็กฝึกงานที่เอวี คราฟท์ สตูดิโอ โปรดักชั่น สถานที่สะกิดความประทับใจในวัยเยาว์ให้เติบโตอีกครั้ง
"ตอนผมอายุ 11-12 ผมเป็นคนที่ชอบกินกูลิโกะ ป๊อกกี้ รสช็อกโกแลตมาก ผมเคยดูโฆษณาที่บอกว่า เมื่อซื้อสินค้านี้แล้วตัดฝากล่องส่งไปจะได้รับรางวัล ผมก็ส่งไปและได้รางวัลชมเชยเป็นหุ่นกระบอกมือ ดีใจมาก...ตรงนั้นทำให้ผมรู้สึกว่าทำไมเวลาพ่อแม่สอนเราไม่ฟัง แต่เวลาเราดูหนังโฆษณาแวบเดียวเราเชื่อเขา..."
ความรู้สึกวูบวาบนั้น บวกกับความกดดันจากปมด้อย กลายเป็นพลังขับเคลื่อนพาให้เขาเป็น "ตี๋ แม็ทชิ่ง" ได้อย่างนึกไม่ถึง
ตี๋ แม็ทชิ่ง ปั้นธุรกิจพันล้านด้วย ลูกบ้า กล้าที่จะฝันนอกกรอบ ตอนที่ (1)

ปัจจัยที่เร่งให้ชีวิตของเขา "ต้องเปลี่ยน" อีกจุดหนึ่งคือ มรสุมเศรษฐกิจซัดเข้าใส่ครอบครัวอย่างหนักถึงขนาดที่ทำให้พ่อต้องหนี "ตี๋" ลูกชายคนแรกเด็กเกเรจึงเปลี่ยนบทบาทมาเป็นหัวหน้าครอบครัว ก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างหนักแทน ! 
จากความทึ่งในพลังของงานโฆษณาบวกกับภาพของเพื่อนที่ได้ขึ้นไปรับรางวัลบนเวที "แทคท์อะวอร์ด" ก่อรูปเป็นฝันที่เขาอยากจะไปยืนตรงนั้นบ้าง 
จากพนักงานเอวี คราฟท์ฯ เขาย้ายตัวเองไปเป็นโปรดิวเซอร์ของบริษัทโฆษณาชั้นนำฟาร์อีสท์ แอ๊ดเวอร์ไทซิ่ง และที่นั่นเองทำให้เขาได้พิสูจน์ฝีมือพาบริษัทไปคว้ารางวัลอันทรงเกียรติที่เขาใฝ่ฝัน ชื่อของเขาติดทำเนียบโปรดิวเซอร์มือดีในวงการ 
แต่เขาก็พลิกชีวิตตัวเองอีกครั้งด้วยการตัดสินใจขยับขยายสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยการเปิดบริษัทในรูปแบบ "โปรดักชั่นมือถือ" ทำงานด้วยออฟฟิศเคลื่อนที่ 
ผลก็คือ "กินแห้ว" ไปนานกว่า 6 เดือนก่อนที่โอกาสจะเปิดทางสว่างให้อีกครั้ง
"ผมไปของานกับคุณชายธีรเดช รัชนี ตอนนั้นท่านอยู่นีดแฮล์ม ท่านให้งานมิตซูบิชิ มิสเตอร์มาราธอน ดีใจมาก บริษัทยังไม่มีชื่อ ได้งานแล้ว" 
โอกาสเปิดประตูต้อนรับเขาอย่างเต็มที่ กลายเป็นผู้กำกับฯมือดี ทำงานคู่กับตากล้องฝีมือเยี่ยม "ดอม-ธนิสสพงศ์ ศศิมานพ" ผู้กลายเป็นคู่บัดดี้ต้นตอของ "แม็ทชิ่ง สตูดิโอ" ในเวลาต่อมา
"ตอนนั้นพี่ดอมเพิ่งออกจากสยามสตูดิโอ มีนายทุนพยายามเอาเงินให้เขาเปิดบริษัท แต่เขามาเลือกผม...ผมโดดใส่เลย ถามเขาว่าทำไมเลือกผม เขาบอกเห็นผมบ้าดี ผมบอกว่าผมไม่มีสตางค์นะ เขาก็บอกว่าเหมือนกัน แต่เรามีเจตจำนงเดียวกันว่าต้องทำบริษัทออกมาให้ดีที่สุด"
...ไม่ใช่เพื่อธุรกิจแต่เพื่อทำหนัง...
ต้นกำเนิดของแม็ทชิ่ง สตูดิโอจึงเกิดขึ้นด้วย "ความอยาก" และความปรารถนาในการทำงานตามวิถีทางที่ชัดเจนในตัวเองมาตั้งแต่ต้น !!
จากนั้น "ตี๋" ทำงานหนัก รักสนุก คลุกคลีกับลูกค้า แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี แถมยังใจกล้า คำนึงถึงคุณภาพ และยังผลักดันให้ทีมงานได้ใช้ศักยภาพของตัวเอง ผลงานที่ออกจากบริษัทนี้จึงถูกตาต้องใจผู้คนโดยตลอด
เงินทุนก้อนแรกที่ลงไป 2 แสนบาทจึงเติบโตอย่างรั้งไม่อยู่ รับทั้งเงินทั้งกล่องโดยเฉพาะจากผลงาน "ไอ้ฤทธิ์กินแบล็ค" ของแบล็คแคต, "เต่าเรียกแม่" ของมิสทิน ฯลฯ ทั้งยังไปสร้างชื่อในเวทีประกวดโฆษณาทั้งในเอเชียและยุโรป เติบโตอย่างไม่หยุดยั้งด้วยยอดบิลลิ่งที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง
ยิ่งในปี 2544 แล้ว แม็ทชิ่ง สตูดิโอภายใต้การนำของเขายังได้รับการจัดอันดับจาก The Gunn Report ตีพิมพ์ในนิตยสาร Creative Review ว่า แม็ทชิ่งฯติดอันดับ 5 ของโลกในฐานะโปรดักชั่นเฮาส์ที่ได้รับรางวัลมากที่สุด
แม็ทชิ่ง สตูดิโอโด่งดังสุดๆ และยังสร้างปรากฏการณ์ด้วยการเป็น "โปรดักชั่นเฮาส์" บริษัทแรกที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ 
..."คนที่บอกว่าเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯแล้วน่ากลัวผมกลับไม่รู้สึกกลัว มันทำให้ผมเฟิร์มขึ้นตรงที่มีความไว้เนื้อเชื่อใจของตลาด"
ไหนๆ โดดเด่นเช่นนี้แล้วยังเป็นบริษัทของตี๋ แม็ทชิ่ง แล้วในวันแรกของการที่ MATH ปรากฏตัวบนกระดานของตลาดหลักทรัพย์ MAI จึงเป็นข่าวครึกโครมยิ่งด้วยมุขการประชาสัมพันธ์ที่ "ซีอีโอตี๋" ลงทุนโหนตัวลงมาจากอาคารตลาดหลักทรัพย์ฯเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2546 
"...ผมต้องการสร้างความแปลกให้คนจดจำ ต้องการให้เป็นข่าว แต่ต้องเป็นสิ่งที่ถูกต้องและดี ผมต้องการให้คนเห็นถึงศักยภาพการทำงานของเรา ต้องการให้คนรู้จักว่าแม็ทชิ่งฯคือใคร...ผมอยากทำอะไรให้แปลกออกไป นี่คือการโฆษณาให้บริษัทเราเอง ไม่ต้องไปซื้อสื่อ"
เป้าหมายใหญ่ของตี๋ คือ การขยายฐานออกสู่ต่างประเทศเพื่อสร้างให้อุตสาหกรรมนี้แข็งแรงยืนหยัด
ความคิดนี้จึงเป็นที่มาของการแตกไลน์สู่บริษัทลูก ทั้งแม็ทชิ่ง เอ็นเตอร์เทนเมนท์ ผลิตรายการโทรทัศน์ จัดอีเวนต์ จัดโชว์, แม็ทชิ่ง มูฟวี่ทาวน์ เมืองสร้างหนัง, แม็ทชิ่ง โมชั่นพิคเจอร์ส ผลิตและรับผลิตหนังไทยและต่างประเทศ, แฟ็ตบอยแอนด์ลิตเติ้ลบอย ทำหนังโฆษณา-สื่อโทรทัศน์-ภาพนิ่ง-แฟชั่น-หาโลเกชั่น-นักแสดง, เกียร์เฮด บริการเช่าอุปกรณ์ถ่ายทำ และแม็ทชิ่ง เทเลวิชั่น ผลิตงานส่งวิทยุและโทรทัศน์
ในช่วงต้นปี 2548 แม็ทชิ่ง สตูดิโอได้ขยับขยายตัวเข้าสู่ตลาด SET ด้วยสินทรัพย์ของกิจการเกือบ 1,000 ล้านบาท และตั้งเป้าจะเดินหน้าสู่ธุรกิจทีวีครบวงจรอย่างไม่หยุดยั้งด้วยการเปิดบ้านรับพันธมิตรธุรกิจ "บีบีทีวี โปรดักชั่นส์" บริษัทลูกของช่อง 7 ให้มาถือหุ้น 27.79% หรือ 57,745,000 หุ้น ถอยตัวเองมาเป็นผู้ถือหุ้นรองที่ 18.68% หรือ 38,764,783 หุ้น
ตามด้วยโปรเจ็กต์อภิมหาใหญ่รับหน้าที่เป็นผู้จัดการประกวดขาอ่อนระดับโลก "มิสยูนิเวิร์ส 2005" ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในงบประมาณสูงถึง 520 ล้านบาท 
และวาดภาพสวยสุดหรูด้วยโครงการจะทำบริษัทลูกเข้าจดทะเบียนในตลาด MAI อีกด้วย 
!
แต่...แผน "คิดการใหญ่" ทั้งหมดต้องชะงัก ด้วยตัวเลข 9 เดือนแรกของปี 2548 ที่ผ่านมา ผลประกอบการติดตัวแดงไปถึง 117 ล้านบาท
 ทั้งๆที่เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิเมื่อปีก่อนที่มีถึง 31.21 ล้านบาท ผลประกอบการลดลง 148.21 ล้านบาท หรือ 474.88%
ผลเกิดจากหนังไทย 2 เรื่อง "ซีอุย" และ "ก็เคยสัญญา" ที่ฟันไป 25.07 ล้านบาท รวมไปถึงรายการทีวี "ตีท้ายข่าว" ก็ไม่ประสบความสำเร็จขาดทุนไปอีก 10 ล้านบาท แต่ก็ยังไม่เท่าการรับเป็นผู้จัดการประกวดนางงามจักรวาลปี 2548 งานนี้เจ็บตัวไปอีก 62 ล้านบาท 
เจ็บนี้หนักนัก แต่สำหรับตี๋ แม็ทชิ่งแล้วเขากำลังจะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส พลิกความเจ็บให้เป็นพลัง แก้โจทย์ชีวิตอีกครั้ง 


 กระทู้ร้อนแรงที่สุดของวันนี้
  กระทู้ร้อนแรงที่สุดของวันนี้
























 กระทู้ล่าสุด
 กระทู้ล่าสุด


 รูปเด่นน่าดูที่สุดของวันนี้
 รูปเด่นน่าดูที่สุดของวันนี้
















































Love illusion ความรักลวงตา เพลงที่เข้ากับสังคมonline
Love illusion Version 2คนฟังเยอะ จนต้องมี Version2กันทีเดียว
Smiling to your birthday เพลงเพราะๆ ไว้ส่งอวยพรวันเกิด หรือร้องแทน happybirthday