เรื่องผีที่สยองที่สุดเท่าที่เคยอ่านมา....(ผี ม.เชียงใหม่)

ย่อความจาก บันทึกการก่อสร้างมหาลัยแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ สมัยเริ่มก่อตั้ง มหาลัยแห่งนี้ ได้รับบริจาคที่ดินบริเวณเชิงดอยสุเทพจากชาวเชียงใหม่ ที่ดินสองฝากฝั่งแม่น้ำสายเก่า ที่ไหลลงสู่แม่ปิง ที่ดินผืนใหญ่นี้ ไม่เคยมีผู้คนเข้ามาอยู่อาศัย มีแต่ป่าร้าง สองฝั่งแม่น้ำ ถูกใช้เป็นเชิงตะกอนเผาผีมานับร้อยปี หลายร้อยศพทับถมอยู่ริมสองฝั่ง ก่อตัวเป็นกองดินสูงขนาดเนินเขาเตี้ยๆอยู่หลายแห่ง พื้นที่ในเกือบทุกตารางเมตรที่ถูกขุดขึ้นมา เพื่อทำการก่อสร้าง ล้วนมีแต่โครงกระดูก เป็นสิบเป็นร้อยและเป็นพัน ในเวลากลางคืน คนงานก่อสร้างหลายคนพบเจอเรื่องราวแปลกประหลาด
บางคนได้ยินเสียงคนร้องให้ บางคนได้กลิ่นธูป บางคนพบคนแต่งกายชุดโบราณเดินไปเดินมา บางคนคนนับร้อยเดินขบวนแห่แหน เหมือนในงานเทศการ คนงานหลายคนหวาดผลา ลาออกจากงาน ที่ยังทำงานอยู่ก็ไม่ยอมหลับนอนในแคมพ์คนงาน เลิกงานก็รีบออกจากสถานที่ก่อสร้าง ไปพักอาศัยในตัวเมือง
งานก่อสร้างเหมือนจะหยุดชะงัก ร้อนถึงผู้รับเหมาและผู้บริหาร จึงได้จัดให้มีพิธีทางศาสนา เพื่ออุทิสส่วนกุศล ไปให้แด่โครงกระดูกที่ขุดพบ และที่ยังไม่ได้ขุดขึ้นมา หลังจากพิธีทางศาสนา การก่อสร้างก็ดำเนินไปด้วยดี และเป็นที่แปลกประหลาด ที่ไม่มีการขุดพบโครงกระดูกอีก และไม่มีใครพบเห็นเหตุการ์ณแปลกประหลาดอีกเลย

50 ปี ผ่านไป ไวเหมือนโกหก

จากมหาลัยเล็กๆเมื่อหลายสิบปีก่อน มาในตอนนี้ กลายเป็นมหาลัยที่ใหญ่ และมีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ของประเทศ นักศึกษารุ่นแล้วรุ่นเล่า เข้ามาศึกษาและจบออกไป หลายคนเจอะเจอเหตุการ์ณแปลกประหลาด ก็เก็บมาถ่ายทอด จากรุ่น สู่รุ่น นานเข้า นานเข้า จึงหลายเป็นตำนาน นักศึกษาใหม่หลายคน มองเป็นเรื่องงมงาย ไร้สาระ และนี่ คือบทหนึ่ง ในตำนาน ที่กลายเป็นเรื่องจริง

หลังสอบปลายภาค ทุกคนเหมือนถูกปลดปล่อยจากพัธนาการ บางคนกว้างตำรับตำราที่เรียนมาทิ้ง บางคนกระโดดดีใจจนตัวลอย ผม และเพื่อนๆ ก็เป็นหนึ่งกลุ่มในนั้น เรามาตั้งวงกินเหล้ากันที่อ่างเก็บน้ำในมหาลัยตั้งแต่ตอนพลบค่ำ รายรอบอ่างเก็บน้ำ มีคนอยู่เป็นกลุ่มๆ กระจัดกระจายกันไป

บางคนมาเป็นคู่ชายหญิง บ้างก็มากันเป็นกลุ่มเหมือนพวกเรา ส่งเสียงเฮฮาดังก้องไปทั่วอ่างเก็บน้ำ ไม่มีใครสนใจใคร ต่างจับกลุ่มอยู่กับพวกของตัวเอง

ผมและเพื่อนๆ ก็สนใจกับกลุ่มของตัวเอง บทสนาที่เริ้มเข้มข้นขึ้น เมื่อเหล้าขวดที่สามหมดไป เพื่อนคนหนึ่งเป็นชาวเชียงใหม่แต่กำเนิด หยิบยกบทสนทนาเรื่องราวความเป็นมาของเมืองเชียงใหม่ และมหาลัยเชียงใหม่อันน่าภูมิใจ

มันเล่าเป็นวรรคเป็นเวร จนเพื่อนในวงเริ่มเบื่อ แต่พอเหล้าเข้าปาก ก็ไม่ค่อยมีใครฟังใคร บทสนทนามาหยุดตรงการเถียงกันเรื่อง ความเป็นมาของเนินเขาลูกย่อมข้างดึกเรียนแห่งหนึ่ง

หนึ่ง : เห้ย มรึงไม่เชื่อกรูเหรอ นี่ยายกรูเล่าให้ฟังนะมรึง คนแก่ไม่โกหกหรอก
สอง : เออกรูเชื่อ แต่***** เปลี่ยนเรื่องคุยเหอะ กรูเสียว คุยเรื่องอื่นเหอะ
สาม : เออน่านดิเปลี่ยนเรื่องคุยเหอะ
ผม : เอออ้ายบ้านี่เมา แล้วคุยแต่เรื่องผีๆ
สี่ : แต่กรูไม่เชื่อว่ะ ให้ตายเหอะ ตังแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นผีจังๆ ซะที ถ้ามีจริงก็อยาก เห็นว่ะ

เพื่อนคนที่สี่ยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกผมยันจนตัวเอียง

ผม : อ้ายเฉี่ย ไม่เชื่ออย่าท้าซิ กรูไม่อยากเจอว้อย

สี่ : ถีบกรูไม กรูไม่เชื่อว่ะ ต้องพิสูจน์
จำม่ายด้ายเหรอ อาจานบอกว่า อย่าเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น

หนึ่ง : เออ ถ้ามรึงไม่เชื่อกรูจะพาไปพิสูจน์ มรึงกล้าป่าวล่ะ

สี่ : ทำไมจะไม่กล้าวะ ยังไงที่ไหน ได้ทุกเวลาเพื่อน
ผม : เห้ย แดรกเหล้าเหอะ มรึงจะเถียงกันทำไมวะ

ด้วยเหตุผลของเพื่อนคนที่สี่ และความเชื่อของคนที่หนึ่ง
ทำให้กลุ่มผมต้องยกโขยงกันมาพิสูจน์

เพื่อนคนที่หนึ่งเล่าว่า
ข้างๆตึกเรียนแห่งหนึ่ง ตรงเนินเขาเป็นเชิงตะกอนเก่า ที่ยังไม่ได้ถูกขุดขึ้นมานับร้อยปี และ ถ้าอยากเห็น "ผี"
ให้จุดธูป 1 ดอก และเดินไปรอบๆเนินดินนั้นสามรอบ
จากนนั้นเอาธูปไปปักที่ยอดเนินดิน จากนั้นก้จะเห็นในสิ่งที่เรามองไม่เห็น
แต่คืนนั้นเราไม่มีธูป แต่ด้วยความอยากพิสูจน์ของเพื่อนคนที่สี่ พวกเราก็พากันเดินรอบเนินดินจนครบสามรอบ

ม่ายเห็นมีเลย ผี ของมรึงอ่ะ
เหนป่ะ กรูบอกแล้ว ไม่มีหรอก
เชื่อกันเป้นตุเป็นตะ
ถ้ามีจริง กรูจะขอหวยเลย

เพื่อนคนที่สี่พูดขึ้นหลังจากเราเดินวนครบสามรอบและมานั่งกันอยู่บนยอดเนิน

ที่ไม่เห็นเพราะเราไม่มีธูปหรอก ถ้ามีธูปมาปัก มันต้องเห็นแน่ๆ

เพื่อนคนที่หนึ่งยังไม่ยอมแพ้

เออ กรูยังไม่ยอมแพ้ เด่วพรุ่งนี้ มรึงมากะกรูเอาะปะ มรึงเอาธูปมาด้วย แล้วก็จะรู้ว่าใครผิด ใครถูก
แดรกเหล้ามาก ปวดฉี่ กรูขอกรวดน้ำให้ก่อนแล้วกันว่ะ
พูดจบเพื่อนคนที่สี่ ก็รูดซิบกางเกง ปล่อยน้ำเสียจากร่างกายลงบนยอดเนิน

ไม่ทันที่เพื่อนคนที่หนึ่งจะห้ามทัน เพื่อนคนที่สอง และคนที่สาม ก็ยืนปล่อยของเสียตามคนที่สี่ตรงยอดเนินจนสุด ผมกับเพื่อนคนที่หนึ่งยืนมองอยู่ด้านล่าง เหล้าหมดแล้ว แล้วตอนนั้นก็ดึกมากแล้ว เรายึงแยกย้ายกันกลับที่พัก ผมกับเพื่อนคนที่สี่ พักอยู่หอในมหาลัย ห้องเดียวกัน เราจึงเดินกลับด้วยกัน

เพื่อนคนที่หนึ่งต้องขับมอไซต์กลับบ้านในตัวเมือง คนที่สองพักอยู่หอพักนอกมหาลัย ส่วนคนที่สามพักอยู่ในมหาลัยแต่คนละส่วนกับผม

ระหว่างทางกลับหอ
ผมต้องคอยหิ้วปีกเพื่อนคนที่สี่ ซึ่งเมามากจนเดินแทบไม่ไหว ส่วนผมนั้นส่างมาพอสมควร

ระหว่างทางนั้นมืดมาก เราเดินมาจนป่าสักทางเข้าหอพัก ตอนนั้นผมได้กลิ่นเหม็นใหม้ลอยมา ในตอนแรกคิวว่ามีใครมาเผาใบไม้แถวนี้ จึงเหลือบมองไปรอบๆ แต่ไม่พบกองไฟ หรือควันไฟ

กลิ่นนั้นยิ่งแรงๆขึ้น แรงขึ้น มันเป็นกลิ่นเหม็นใหม้ของเส้นผม หรือเส้นขน ผมขนลุกซู่ หายเมาเป็นปลิดทิ้ง

รีบพยุงและรั้งเพื่อนคนที่สี่ จนเรามาถึงประตูเข้าหอพัก ซึ่งสว่างมากกว่าทางเดินที่เดินผ่านมา มากนัก

ผมหายใจโล่งอก พลอยคิดไปว่าเมื่อกี้คงเป็นอุปทานของคนกลัวผีอย่างผม

ผมพยุงเพื่อนคนที่สี่ ไปจนถึงห้องนอน ถีบมันลงที่เตียง แล้วออกมาอาบน้ำ รู้สึกง่วงและเหนียวตัวพิกล เพื่อนผม พอตัวถึงเตียงก็หลับไหวไม่ได้สติ

ผมอาบน้ำเสร็จก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาก เดินกลับเข้ามาที่ห้อง ยังเห็นเพื่อนนอนอยู่ในท่าเดิม จึงจัดท่านอนมันให้ดุเป็นผู้เป็นคน จากนั้นผมก็ล้มตัวลงที่เตียงของผม สวดมนต์ แล้วนอน

ผมมาสะดุ้งตื่นอีกที ตอนเกือบรุ่งเช้า ได้ยินเสียง อึกอักๆ มาจากเตียงข้างๆ
ตอนแรกคิดว่าเพื่อนคงลุกมาอ้วก แต่ไม่ได้ยินเสียงลุกจากเตียง และผมก็ยังไม่อยากลืมตา ผมส่งเสียงงัวเงียถามไปว่า มรึงเป็นเฉี่ยๆไร จะอ้วกก็อ้วก อึกอักอยู่ได้

ไม่มีเสียงตอบจากเพื่อนผม ตอนนั้นผมคิดในใจ ถ้ามันอ้วก รดเตียงคงเหม็นไปทั่วห้องแน่

ผมถีบตัวเองลุกจากเตียง โดยที่ยังไม่ลืมตา เดินด้วยความเคยชินมาที่เตียงเพื่อน ลืมตาขึ้นช้าๆ
ภาพที่ผมเห็นคือ เพื่อนผมนอนเหยียดยาว แขนทั้งสองข้างกางออกจากกันเหมือนถูกใครกดไว้ ปลายเท้าเหยียดเกร็ง
ใบหน้าเหยเก บิดไปบิดมา มีน้ำขุ่นๆ ไหลออกมาจากปาก อาการเหมือนคนเป็นโรคลมชัก

ผมถลันไปถึงตัวเพื่อน จับเข้าที่ปลายเท้า เท้ามันเย็นเฉียบ เย็นเยียบ ผมหัวลุก ผงะถอยออกมา ยังงงกับภาพเบื้องหน้า พยายามตั้งสติ
ผมส่งเสียงเรียกเพื่อนดังลั่น ถลันไปที่ตัวเพื่อนอีกครั้ง คราวนี้ผมไปจับที่หน้า ที่บิดไปบิดมาของมัน ส่งเสียงเรียกมันอีกครั้ง

มันจึงหลับตา บิดตัวไปมา หายใจฟืดฟาด เหมือนคนจะขาดใจ
เอาไงดีวะ
เพื่อนผมลืมตา แต่ตามันไม่ได้มองมาที่ผม ตามันเหลือกขึ้นเหลือกลง มองเห็นตาขาวมากกว่าตาดำ ตอนนั้นผมคิดได้แต่ว่า โดนเข้าแล้วมรึง

ผมวิ่งกลับไปที่เตียง กว้าพระจากไต้หมอนวิ่งเอามาคล้องคอเพื่อน เสียงเพื่อนผมกรีดร้อง เสียงสูงมาก เหมือนเสียงผู้หญิง แล้วก้หยุดเกร็ง ดวงตาปิดลง
ทุกอย่างกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง

ผมหายใจโล่ง เพื่อนมันหายใจถี่ จนอกกระเพื่อม ผมตบหน้ามัน สองสามครั้ง มันลืมตาขึ้นอีกครั้ง แต่ยังหายใจหอบ เหมือนคนที่เพิ่งวิ่งมาเหนื่อยๆ

ผม : เห้ย เป็นไรวะ
เพื่อน : .....กรู กรู
ผม: ไหวป่าววะ ไปโรงพยาลาลเหอะ
เพื่อนผมพยักหน้าเบาๆ ยังไม่มีคำพูดหลุดออกมาจากปากมัน

ผมวิ่งออกมาจากห้อง ไปยังตู้โทรศัพท์ กดเบอร์ฉุกเฉินไปที่ป้อมยาม เช้าวันนั้น ผมยังอยู่ในชุดนอน นั่งอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน เพื่อนผมถูกหามเข้าไปในนั้นเกือบสองชั่วโมง พยาบาลวิ่งเข้าวิ่งออกอยู่หลายรอบ

ตอนนั้นเจ็ดโมงครึ่งแล้ว ผมเดินไปที่ตู้โทรศัพท์ หยอดเหรียญ เพื่อโทรหาเพื่อนคนที่หนึ่ง เสียงเรียกดังอยู่สองครั้ง ก็มีคนรับสาย แม่เพื่อนผมรับ ผมบอกชื่อ และบอกว่าขอคุยกับเพื่อน เพื่อนผมยังไม่ตื่น แม่มันกำลังจะไปปลุกให้

เสียงงัวเงียรับสาย ผมเล่าเหตุการ์ณที่เกิดขึ้นให้ฟังคร่าวๆ เสียงในสายเงียบไป ผมย้ำให้มันโทรไปหาเพื่อนคนที่สอง และคนที่สาม เพราะผมรีบมากจึงลืมหยิบมือถือมา และจำเบอร์มันสองคนไม่ได้

เพื่อนคนที่หนึ่งรับคำ และบอกว่าจะรีบตามมาที่โรงพยาบาล ผมวางโทรศัพท์ และทันทีที่หมอเดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน ผมผละ

ไปที่หมอ ยังไม่ทันจะถามอะไรหมอก็ชิงตอบว่า

หมอ : ตอนนี้เพื่อนคุณไม่เป็นอะไรแล้ว
เป็นอาการของคนอาหารเป็นพิษน่ะ แล้วก็กินเหล้าเข้าไปเยอะใช่ไหม นั่นก็มีส่วนด้วยนะ เพราะร่างกายยังรับไม่ไหว หมอล้างท้อง แล้วก็ให้น้ำเหลืออยู่ อีกซักพักจะย้ายไปห้องผู้ป่วยสามัญ

หมอร่ายยาว ผมได้แต่ยืนพยักหน้า ผมยกมือไหว้แล้วหมอก้เดินจากไป ซักพักพยาลาลก็เข็นเพื่อนผมออกมาจากห้องฉุกเฉิน ผมเดินไปที่รถเข็ญ เพื่อนผมยังสลึมสลือ

แล้วเดินตามมันไปที่ห้องพักผู้ป่วย ในคอมันไม่ได้ห้วยพระที่ผมคล้องให้แล้ว แต่ในมือซ้ายมันกำศร้อยพระอยู่แน่น ผมจับที่แขนมัน ไม่ได้พุดอะไร
มันลืมตามองมาที่ผม ไม่มีคำพูดอะไร มันพยักหน้าช้าๆ ผมยิ้มเชิงปลอบใจ ตอนสายของวันนั้น ผมกับเพื่อนคนที่หนึ่ง และคนที่สามนั่งคุยกันอยู่ที่หน้าห้องผู้ป่วยสามัญ

เพื่อนคนที่สามมาหาผมหร้อมกับเพื่อนคนที่หนึ่ง แวบแรกที่ผมเห็นมันผมก็ใจชื้น ใจหนึ่งคิดว่า อย่างน้อยมันก็ไม่เป็นอะไร

ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน อาจเป็นเพียงอุปทานของผมเอง เพื่อนผมคงเมา และอาหารเป็นพิษอย่างที่หมอว่า.....

แต่คำตอบที่ได้รับจากเพื่อนคนที่สามหลังจากเราซักถามกัน มันทำให้ผมขนลุก
เพื่อนคนที่สามเล่าให้ฟังด้วยเสียงสั่นเครือ หน้ามันซีดลง
เมื่อเล่ามาถึงตอนที่ว่า

"หลังจากแยกกันเมื่อคืน กรูก็ขี่มอไซด์กลับหอ
ก็กะว่าจะนอนยาวแหละ
แต่นอนไปซักพัก มันปวดฉี่
กรูเลยลุกไปเข้าห้องน้ำ (ห้องน้ำในหอพักเป็นห้องน้ำรวม
ต้องเดินออกมาจากห้อง เพื่อเดินไปเข้าห้องน้ำ)
พอฉี่เสร็จ กรูก็จะกลับมานอนต่อ แล้วกรูก็เห็น"

เล่ามาถึงตอนนี้เพื่อนคนที่สามกลืนน้ำเลยดักเอื้อก

" ตอนแรกก็คิดว่าตาฝาดว่ะ แต่พอขยี้ตาดูอีกที กรูเห็นจริงๆว่ะ"

คราวนี้ผม กับเพื่อนคนที่หนึ่งเป็นฝ่ายมองหน้ากัน
เพื่อนคนที่หนึ่งพยักหน้า มันคงรู้เรื่องจาก
คนที่สามแล้วระหว่างทางที่มาหาผม

หนึ่ง : ฟังมันเล่าต่อ ไม่ใช่อย่างที่มรึงคิดหรอก
ผม : ผู้หญิงป่าววะ เมื่อคืนกรู...
สาม : คือ.... ทั้งผู้หญิง และ ผู้ชาย
ผม: (รู้สึกน้ำลายเหนียวคอขึ้นมาทันที) ....เอื้อก

เพื่อนคนที่สามเล่าต่อว่า
เบื้องหน้ามันมีสิ่งที่เราๆเรียกกันว่า
"ผี" ยืนกั้นมันอยู่ เพื่อนผม
บอกว่าไม่ได้นับว่ามีเท่าไหร่ อาจสิบ หรือยี่สิบ

มันหันหลังกลับ ตอนนั้นมันคิดจะวิ่งหนีไปอีกทาง
แต่พอหันหลังกลับก้เจอแบบเดียวกัน คืออีก
กลุ่มหนึ่งยืนปิดทางเดินไว้ เหยียดยาวตั้งแต่หน้า ห้องน้ำ
ไปจนถึงบันใดวน เล่ามาถึงตอนนี้
เพื่อนคนที่สาม หน้าซีดขาว มันยกพระที่ห้อยคอขึ้นมาสาธุ
ถ้าเป็นผมในตอนนั้น คงตกใจตาย
อยู่ที่นั่น ไม่ได้มีชีวิตรอดมาถึงเช้าของอีกวันแน่

ฤดูร้อนปีที่แล้ว เพื่อนคนที่สามกลับไปบ้านเพราะพ่อมันเสีย
มันบวชให้พ่อที่วัดแถวบ้านอยู่
เกือบสองเดือน ได้พระดีมาจากเจ้าอาวาสก่อนจะสึก

ณ เวลานั้นเพื่อนคนที่สามรวบรวมสติ และความกล้าที่พอจะเหลืออยู่
รวบพระในคอขึ้นมายกไหว้
ยังพอจำคาถาชินบัญชรได้
มันหลับตาลง และเริ่มท่องอย่างตะกุกตะกัก
ณ เวลานั้นมีลมเย็นพัดผ่านตัวมันไป
วูปแล้ว วูปเล่า
กลิ่นเหม็นใหม้ลอยอบอวลไปทั่วบริเวณ
แล้วลมก้พัดแรงขึ้น แรงขึ้น แรงจนมันรู้สึกว่าตัวมันลอยขึ้น
มันยังสวดคาต่อไป แม้จะตะกุกตะกักก็ท่องมาจนจบท่อนสุดท้าย
มันท่องคาถาดังขึ้น เมื่อรวบรวมความกล้าขึ้นมาได้
และท่องมาจนถึงรอบที่สี่

ลมที่พัด และกลิ่นเหม็นไหม้ก็จางหายไปมันลืมตาขึ้นมองไปยังทางเดินเบื้องหน้าพบแต่ความมืดและอากาศธาตุอยู่เบื้องหน้า เหลียวหลังอีกทีก็ยังไม่พบสิ่งใด กะว่าจะเดินกลับเข้าห้อง แต่ขามันไม่มีแรงเหลือบมองที่กางเกง ที่เปรอะไปด้วยฉี่ของตัวเองที่ไม่รู้ปล่อยออกมาตั้งแต่ตอนไหน

มันนั่งลง หมดเรี่ยวแรง มองไปยังท้องฟ้าเบื้องหน้าเห็นฟ้าสีทองเหลืองอร่าม นั่นคงไกล้เช้าแล้ว มันลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ค่อยๆก้าวขาช้าๆเพื่อเดินกลับห้อง
เพื่อนคนที่สามเล่าจบ ส่วนผมยังยืนนิ่ง สมองชามองไปที่ใบหน้าเพื่อนคนที่สามที แล้วก็มองไปยังที่เพื่อนคนที่หนึ่งที

เพื่อนคนที่หนึ่งพยักหน้าอีกครั้ง ทำนองที่ว่า
"เรื่องจริงนะมรึง"

ในตอนนั้นเราต่างนึกถึงเพื่อนคนที่สอง ที่พักอยู่หอนอกมันพักอยู่กับเพื่อนอีกคน ซึ่งตอนนี้กลับบ้านที่ต่างจังหวัดไปแล้ว นั่นหมายความว่า เมื่อคืนนี้มันอยู่คนเดียวเช่นกัน แล้วอ้ายบ้านั่นมันก็ไม่ได้ห้อยพระด้วย เพราะเหตุผลที่มันแพ้สร้อย

เพื่อนคนที่หนึ่งเล่าให้ฟังว่า ได้พยายามโทรเข้ามือถือมันแล้วแต่ไม่มีคนรับสาย และไม่รู้ว่ามันพักอยู่หอตรงไหน รู้แต่ว่าอยู่หลังมหาลัยมีแต่ผมคนเดียวที่เคยไปนอนค้างที่นั่น

มันและเพื่อนคนที่สามจึงตรงมาหาผม
เพื่อจะได้ไปดูที่หอพักคนที่สาม

อย่างไม่รอช้า ผมและเพื่อนๆ รีบออกจากโรงพยาบาล
ขับรถมุ่งสู่หอพักเพื่อนคนที่สอง

ตอนที่อยู่ในรเพื่อนคนที่สามเอาแต่ท่องบทสวดมนต์
เดาว่าคงเป็นคาถาชินบัญชร ตอนนั้นผมก็
อยากหัวเราะ แต่มันหัวเราะไม่ออก
ในใจได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้มันเกิดเรื่องร้ายๆ กับ
เพื่อนคนที่สองเลย
เรามาถึงห้องพักของเพื่อนคนที่สองตอนเกือบใกล้เที่ยง

เคาะห้องมันอยู่หลายครั้ง ตะโกนเรียกแล้วก็ไม่มีใครตอบ

สุดท้ายต้องไปบอกเจ้าของหอให้มาเปิดประตูให้

แต่สุดท้ายห้องนั้นไม่มีใครอยู่

เพื่อนคนที่สามเริ่มสติแตก โวยวายไปต่างๆนาๆ
ส่วนผมก็เอาแต่เดินไปเดินมา คิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไร

เป็นเพื่อนคนที่หนึ่งที่พูดขึ้นว่า มันอาจไปนอนที่ชมรม
เพราะอาจจะขี้เกียจกลับหอ

ผมเออออ เราออกจากหอพัก มุ่งสู่ชมรมในมหาลัย

เรามาถึงชมรม มีนักศึกษาอยู่ที่นั่นสองสามคน

ผมรีบถามหาเพื่อน แต่ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เห็น

เราเริ่มหมดหวัง เพื่อนคนที่หนึ่งให้ความเห็นต่อไปอีกว่า
มันอาจกลับบ้านที่ลำพูน แต่ผมลง
ความเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะเมื่อคืนมันเมามาก
และลำพูนก็ไกลพอสมควร คงไม่มีใครบ้าขี่รถกลับบ้านหรอก

ส่วนเพื่อนคนที่สามตอนนี้ไม่ทำอะไร
เอาแต่พึมพำสวดมนต์เหมือนคนบ้า

เราขับรถออกจากชมรม แวะเอามือถือที่หอพักผม

ผมโทรไปบอกแม่ของเพื่อนคนที่สี่ ว่าลูกท่านอาหารเป็นพิษ
อยู่ที่โรงพยาบาล แต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว พักฟื้นอยู่ที่ห้องผู้ป่วยสามัญ

แม่มันตกใจมาก บอกว่าจะรีบมาบินมาที่เชียงใหม่

ผมไม่ได้พูดอะไรอีก กดโทรศัพท์ไปที่บ้านเพื่อนคนที่สอง

พ่อมันรับสาย

ผมถามว่าลูกท่านได้กลับบ้านหรือเปล่า ท่านบอกว่าไม่ได้กลับ
และถามว่ามีอะไรไหม

ผมบอกแค่ว่า เรามีนัดกันวันนี้ แต่ยังหาตัวเขาไม่เจอ

ไม่อยากบอกอะไรมากไปกว่านี้
เนื่องจากไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่


เราตกลงว่าจะกลับไปที่โรงพยาลาลอีกครั้งเพื่อดุอาการเพื่อนคนที่หนึ่ง

เพื่อนผมขับรถวนเพื่อจะออกทางหน้ามหาลัย

ผ่านอ่างเก็บน้ำ ผมเหม่อมองไปที่อ่างเก็บน้ำ

มีคนนั่งอยู่เป็นหย่อมๆ แล้วสายตาผมก็เหลือบไปเห็น
มอไซด์คันหนึ่ง
จอดอยู่ที่ข้างทางลงไป
ยังอ่างเก็บน้ำ

ผมบอกให้เพื่อนคนที่หนึ่งหยุดรถ เพราะถ้าผมจำไม่ผิดนั่นคือ
รถของเพื่อนคนที่สอง ผมจำ
ทะเบียน กับรูปสติกเกอร์ที่ติดอยู่ข้างๆรถได้
ผมบอกสิง่ที่เห็นกับเพื่อนคนที่หนึ่ง
เราสองคนลงจากรถเพื่อเดินไปยังรถมอไซด์

เพื่อนคนที่สามไม่ยอมลงจากรถ

เราเดินมาจนถึงตัวรถ และพบว่ามันเป็นรถของเพื่อนคนที่สองแน่ๆ
เรามองหน้ากันอีกครั้ง

ผมตะโกนเรียกชื่อเพื่อนสุดเสียง ดังไปรอบอ่างเก็บน้ำ

เพื่อนคนที่หนึ่งก็ช่วยตะโกน
แต่เงียบ
ไม่มีเสียงตอบรับ
มีเพียงเสียงสะท้อนดังมาเป็นระยะ

เรามองหน้ากัน ตกลงที่จะเดินหารอบๆอ่างเก็บน้ำ

เราเดินแยกไปคนละฝั่งของอ่างเก็บน้ำ

ผมเดินเรียบอ่างเก็บน้ำเรื่อยเข้าไปทางเดินแคบๆ

หลังจากแยกกันได้ประมาณสิบนาที ผมก็ได้ยินเสียงเพื่อนคนที่หนึ่ง
ตะโกนร้องเรียกชื่อผม
ผมชะงักและมองไปทางต้นเสียง มองเห็นเพื่อนผมโบกมือ
อยู่ทางอีกฝั่งของอ่างเก็บน้ำและ
ตะโกนเรียกผม ท่าทางมันร้อนรน ผมตะโกนตอบ และรีบวิ่งไปหามัน

พอมาถึงจุดที่มันยืนอยู่ เห็นมันยืนหันหน้าออกจากอ่างเก็บน้ำ
หน้าตาซีดเซียว

ผม : เฮ้ย เป็นไรวะ
มันไม่ตอบแต่ชี้มือไปทางอ่างเก็บน้ำ ผมมองไปในทิศที่มันชี้

ภาพที่ปรากฎเบื้องหน้า ทำเอาผมมวนท้อง ผมเบือนหน้าหนี
แต่ภาพนั้นยังติดตา

เพื่อนคนที่สองที่หายไป ตอนนี้ครึ่งตัวส่วนขาของมันแช่อยู่ในน้ำ
ท่อนบนพิงอยู่ที่ขอบอ่าง ใบหน้าเขียวขล้ำ ดวงตาเบิกโพลง
ไม่ต้องใช้สมองคิดก็รู้ว่ามันตายไปแล้ว

นึกมาถึงตอนนี้ ผมรู้สึกมวนท้องขึ้นมาอย่างแรง
หน้ามืดและนึกลำดับภาพไปต่างๆนาๆ
ผมมองไปทางเพื่อนคนที่สอง ซึ่งตอนนี้มันกำลังร้องให้
ผมเดินไปหามัน
ตบที่บ่ามันเบาๆ ไม่
มีคำพูดอะไร และตอนนั้นผมก็ไม่ได้รู้สึกดีไปกว่ามัน



บ่ายสองโมงของวันนั้น ผม เพื่อนคนที่หนึ่ง และคนที่สาม
ยืนอยู่รอบอ่างเก็บน้ำ ตำรวจ
และ รปภ มหาลัยยืนอยู่กระจัดกระจายทั่วบริเวณ
นักศึกษาหลายคนบริเวณนั้น จับกลุ่มคุยกัน
เป็นกลุ่มๆ บริเวณรอบๆที่เพื่อนคนที่สองตายถูกกั้นไว้ไม่ให้เข้า

เย็นวันนั้นผมและเพื่อนทั้งสอง
ถูกนำตัวไปสอบสวนที่สถานีตำรวจจนถึงสองทุ่มครึ่ง
เราทั้งหมดให้การตรงกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้นัดหมาย
และไม่มีใครพูดถึงเหตุการ์ณที่เนินดินนั่นเลย

ผมออกจากโรงพักตอนสามทุ่ม เราตกลงกันว่าจะแวะไปหาเพื่อนคนที่สี่
และจะกลับไปนอนที่
บ้านเพื่อนคนที่หนึ่ง และแน่นอน
ผมและเพื่อนคนที่สามยังไม่อยากกลับไปนอนที่หอพักในตอนนี้


ผมมาถึงโรงพยาบาลจึงรู้ว่า
เพื่อนคนที่สี่ถูกย้ายไปอยู่ห้องเดี่ยวในโรงพยาบาล
แม่มันมาถึงแล้ว เราเข้าไปในห้องผู้ป่วย
เจอแม่ของเพื่อนคนที่สี่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างเตียงผู้ป่วย เพื่อนคน
ที่สี่ตื่นแล้ว และกำลังดูทีวีอยู่ พอพวกเราเข้าไปในห้อง
มันก็ยิ้มรับ เราทักแม่มันพอเป็นพิธี
แต่ยังไม่ได้บอกถึงข่าวการเสีย ชีวิตของเพื่อนอีกคน

ผมเล่าให้แม่มันฟังถึงเหตุการ์ณที่เกิดขึ้นโดยขร่าวๆ
ไม่ได้บอกถึงเรื่องที่เนินดิน สบตาเพื่อน
คนที่สี่ ก็พอรู้ว่ามันยังไม่ได้เล่าอะไรให้แม่มันฟัง

สี่ทุ่มกว่า เราคุยกันอีกสองสามคำแล้ว
ผมและเพื่อนคนที่หนึ่งและเพื่อนคนที่สามก็ออกจาก
โรงพยาบาล
เราทั้งสามคนต่างเหน็ดเหนื่อยกับเหตุการ์ณที่เกิดขึ้นในวันนี้
พอถึงบ้านเพื่อน
เราก็ฝังตัวอยู่ในห้อง
แม่เพื่อนคนที่หนึ่งเอาข้าวผัดมาให้เราคนละจาน ผมกินไปได้สองสาม
คำ ส่วนเพื่อนคนที่สาม ไม่ยอมแตะเช่นเดียวกับเพื่อนคนที่หนึ่ง
เรานั่งคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
พยายามลำดับเหตุการ์ณต่างๆ ทุกอย่างดูจะมืดมนลงเมื่อเรา
พูดถึงหนทางแก้ไข

มาถึงจุดนี้ผมรู้สึกเพลียมาก
จึงล้มตัวลงนอนไม่ได้สนใจบทสนทนาของเพื่อนคนที่สามกับ
คนที่หนึ่ง ที่ยังคงพูดคุยกันต่อไป

แก้ไขนิดนะ .--ผมมองไปทางเพื่อนคนที่สอง
ซึ่งตอนนี้มันกำลังร้องให้---ผมมองไปทาง
เพื่อนคนที่หนึ่ง ซึ่ง ตอนนี้มันกำลังร้องให้---

คืนนั้น ผมหลับเป็นตาย มารู้สึกตัวอีกทีตอนเกือบรุ่งสาง

ออกมาเข้าห้องน้ำ และกำลังจะกลับไปนอนต่อ
เหลือบเห็นเพื่อนคนที่หนึ่ง และคนที่สาม
นอนกอดกันอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง ไม่มีใครขึ้นไปนอนบนเตียง

ผมกลับมาที่มุมเดิมของที่นอน แล้วล้มตัวลงนอน
ตอนสายของวันนี้เราต้องไปที่โรงพักอีกครั้ง

ผมจึงอยากจะนอนอีกซักตื่นเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น

ผมหลับลงอีกครั้งอย่างง่ายดาย และผมก้ฝัน
มันเป็นความฝันที่ชัดเจนเหมือนกับเกิดขึ้นจริง

ในฝันผมนั่งอยู่ที่พื้น เบื้องหน้าผมมีพระรูปหนึ่งยืนอยู่
ในมือถือไม้เท้า หลังงองุ้ม ใบหน้า
เ**่ยว ย่น ท่านไม่ได้พูดอะไร
ผมรู้สึกปลอดโปร่งเมื่อมองไปที่ภาพเบื้องหน้า
ผมเหลือบไปเห็นจีวรของท่านฉีกขาด ผมเงยขึ้นสบตาท่าน ท่านยิ้ม
ผมไม่ทันพุดอะไร ท่านก็
เดินจากไป
ผมลุกขึ้นจะเดินตาม แต่ก็ถูกปลุกให้ตื่นจากความฝันเสียก่อน

ผมตื่นขึ้นเพราะถูกเพื่อนคนที่หนึ่งปลุก
เพื่อนทั้งสองคนตื่นก่อนผม อาบน้ำและกินอะไรกันเรียบร้อยแล้ว

ผมรีบไปอาบน้ำกินอะไรนิดหน่อยแล้วเราก็ออกจากบ้าน
ตรงไปที่โรงพัก

ที่โรงพัก เราถูกสอบสวนเหมือนเดิมอีกรอบ
และเราได้พบอธิการบดีที่นั่น ท่านบอกให้เรา
เก็บ เรื่องที่เกิดขึ้นให้เป็นความลับ
เพราะถ้าข่าวรั่วออกไปจะทำให้เสียชื่อมหาลัย
เรารับปาก

ออกจากโรงพักตอนเที่ยงเราแวะกินข้าวที่หน้าศาลากลาง
และตรงไปที่โรงพยาบาล
ตัดสินใจจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เพื่อนคนที่สี่ฟัง

ถึงโรงพยาบาลเราตรงไปที่ห้องผู้ป่วย
จึงรู้ว่าเพื่อนคนที่สี่บินกลับกรุงเทพไปกับแม่มันตั้งแต่เช้าแล้ว
ผมตัดสินใจโทรเข้ามือถือเพื่อน แต่ไม่มีคนรับ
เราออกจากโรงพยาบาล
มุ่งหน้าไปลำพูน
เพื่อไปงานศพเพื่อนคนที่สอง

วันนั้นทุกคนยังนิ่งเงียบ ทุกคนเหมือนมีเรื่องให้ต้องคิด
เพื่อนคนที่สามอาการดีขึ้น ไม่ได้นั่งสวดมนต์ตลอดทาง
แต่มันยังยกสร้อยที่ห้อยคอออกมาสาธุเป็นระยะ
เรามาถึงวัดแห่งหนึ่งในอำเภอหนึ่งของจังหวัดลำพูนตอนเที่ยงกว่าๆ
เราเข้าไปไหว้และ
ทักทายพ่อและแม่ของเพื่อนที่ตาย พูดคุยอะไรกันสองสามคำ
ทั้งสองคนยังติดใจในสาเหตุ
การ ตายของลูกตัวเอง และยังอยู่ในอาการเศร้าสร้อย


ในเบื้องต้นหมอสรุปว่าเพื่อนผมเสียชีวิตเพราะร่างกายนอนในที่อากาศเย็นเป็นเวลานาน
ทำ ให้ปอดไม่ทำงาน และที่เป็นเช่นนั้นเพราะมันเมา และเผลอหลับไป
เนื่องจากไม่มีบาด
แผล หรือร่องรอยถูกทำร้ายบนร่างกาย
จึงไม่น่าจะมีสาเหตุอื่นในการเสียชีวิตได้

เราแยกตัวออกมาจากกลุ่มญาติของผู้ตาย
หลบมานั่งอยู่ทางด้านหลังของแถวที่ฟังพระสวด

พอพระสวดจบ เรากำลังจะขอตัวกลับ และจะกลับมางานอีกครั้งในวันเผา

เราเดินมาที่รถ
ทันใดนั้นผมเหลือบไปเห็นพระรูปหนึ่งกำลังกวาดใบไม้อยู่ที่ลานวัด หลังของ
ท่านงองุ้ม ใบหน้าเ**่ยวย่น เหมือนกับภาพที่ผมเห็นในฝันเมื่อคืน
ผมเดินเข้าไปไกล้ขึ้น และ
รู้แน่ในตอนนั้นว่าผมจำไม่ผิดแน่
เหมือนกันทุกอย่างผิดกันที่อิริยาบทเท่านั้นเอง

ท่านเงยหน้าขึ้นมองผม และยิ้ม
เหมือนกับรอยยิ้มที่ผมเห็นเมื่อคืน
ผมนั่งคุกเข่าลง บรรจง
กราบท่านสามครั้ง ท่านยังยิ้มมาที่ผม
เพื่อนทั้งสองคนเดินตามผมมา
และนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ
ทั้งสองยังมีสีหน้างง ในสิ่งที่ผมทำ
ซึ่งผมก็ยังไม่ได้บอกใครเรื่องความฝันเมื่อคืน

หลวงปู่ : เจริญสุขเถอะโยม
ผม: ......หลวงปู่ครับ คือว่า เมื่อคืนนี้ผม...
หลวงปู่: เอาเถอะโยม อาตมาพอจะรู้เรื่องของพวกโยมมาบ้าง
อยากจะรู้ทางแก้ปัญหาใช่
ไหม ล่ะ
ปัญหาของโยมนั้น เกิดขึ้นจากกรรม กรรมที่ร่วมกันทำมา
ก็ต้องร่วมกันแก้ อาตมาหมายถึง
พวกโยมที่เหลือทั้งสี่คน ได้ร่วมสร้างกรรมนี้ขึ้นมา
กรรมอันเป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์ ด้วย
ความโง่เขลา และความไม่รู้

ตอนนั้นผมอึ้งมาก เพื่อนทั้งสองคนก็งงไม่น้อยไปกว่าผม
เพื่อนคนที่หนึ่งสะกิดผมด้านหลัง
ถามผมเบาๆว่า รู้จักกันมาก่อนเหรอ

ผมส่ายหน้า
หลวงปู่ : ไม่ต้องสงัสยในตัวอาตมาหรอกโยม
พวกโยมมีเรื่องที่ต้องคิดกันพอสมควรอยู่แล้ว


ท่านพูดมาถึงตอนนี้ก็ส่งยิ้มมาที่เราทุกคน
แล้วท่านก็วางไม้กวาดลงที่พื้น
หยิบไม้เท้าที่วางอยู่ข้างๆ

หลวงปู่: ตามอาตมา ไปที่กุฏิเถอะ

พูดจบท่านก็ออกเดิน

ผมลุกขึ้นและเดินตามท่านไป
เพื่อนคนที่สามถามผมตอนนที่เราเดินตามท่านไป ตอนนั้นผมไม่
รู้จะอธิบายอย่างไร ตอบไปสั้นๆว่า

เราอาจจะพบทางแก้ปัญหาแล้วก็ได้ พวกมรึงตามกรูมาเถอะ
เดี๋ยวค่อยอธิบายให้ฟัง

ท่านนั่งลงบนอาสนะที่กุฏิ
ส่วนพวกเราทั้งสามคนนั่งพับเพียบอยู่ด้านหน้าท่าน

หลวงปู่: เอาล่ะโยม มารับนี่ไป

หลวงปู่ล้วงไปในกระเป๋าย่ามเก่าๆข้างตัวท่าน
หยิบผ้าสีแดงออกมาสามผืน บนผ้ามีตัวอักษร
ภาษาบาลีอยู่สามสี่ตัว ไม่ใช่ผ้ายัตน์
ผมอ่านไม่ออกว่ามันเขียนว่าอะไร ผมส่งผ้าให้เพื่อนคน
ละผืน ตัวเองเก็บไว้หนึ่งผืน

หลวงปู่: อาตมาขอให้พวกโยมทุกคน
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจงเก็บผ้าผืนนี้ติดตัวไว้ตลอดเวลา
อย่ายกให้กับบุคคลอื่น

เพื่อนคนที่หนึ่งถามท่านว่าท่านรู้เรื่องของพวกเราได้อย่างไร

ท่านยิ้ม

หลวงปู่: ไม่มีประโยช์อันใด ที่จะรู้หรอกโยม
เพราะบางสิ่งบางอย่าง
เมื่อรู้แล้วก็นำมาซึ่ง
ความ โง่เขลา มากกว่าปัญญา
อาตมาขอให้พวกโยมทุกคน ค้างกับอาตมาที่นี่คืนนี้
พรุ่งนี้ค่อยกลับเชียงใหม่ อาตมาให้เด็ก
วัด เตรียมที่นอนไว้ให้แล้ว
ตอนเย็นเจ้าผมยาวก็จะมา เมื่อมันมาถึงพามันมาหาอาตมาที่นี่

เพื่อนทั้งสองคนหันมามองหน้าผม เพราะคนที่ท่นพูดถึงนั้น
หมายถึงเพื่อนคนที่สี่ของเรา ที่
เพิ่งบินกลับกรุงเทพไปเมื่อเช้า

หลวงปู่ : อาตมาขอตัวก่อนะโยม พวกโยมจะได้คุยกัน
หลังจากทำวัตรเย็นแล้ว อาตมาขอ
ให้พวกโยมมาพร้อมกันที่นี่

หลังจากพูดจบท่านก็ลุกขึ้นยืน และเดินเข้าห้องท่านไป

หลังจากท่านจากไป เพื่อนทั้งสองคนก็ยิงคำถามใส่ผมหลายชุด
ผมพยายามปะติดปะต่อเรื่อง
และเล่าให้ฟัง

หลังจากทราบเรื่องราว เพื่อนทั้งสองคนก็สงบลง

เหตุการ์ณที่เกิดขึ้น จะเรียกว่าปาฏิหารย์ก็ได้

เพราะผมไม่รู้จะใช้คำพูดอื่นใดทดแทนได้



เย็นวันนั้นขนะเราเตร็ดเตร่อยู่แถวงานศพ

เพื่อนคนที่สี่ก็โพล่มา พวกเราตกใจเล็กน้อย
เพราะอันที่จริงก็เตียมใจกันไว้แล้ว ว่ามันต้องโผล่มา

เราก็เข้าไปซักถาม ว่ากลับมาเชีบงใหม่ได้อย่างไร
มันบอกว่าไปถึงดอนเมือง แล้วอ่านข่าวหนังสือพิมพ์
เลยรู้ข่าวว่าเพื่อนคนที่สองตาย
จึงจับเครื่องกลับเชียงใหม่ทันที
พอมาถึงเชียงใหม่ก็ไปที่บ้านคนที่หนึ่ง
จึงรู้ว่าพวกเรามาที่งานศพ
จึงตามมาที่นี่

พวกเราพยักหน้า

ผมเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นให้เพื่อนคนที่สี่ฟัง
เราลำดับเหตุการ์ณที่เกิดขึ้นเป็นลำดับขั้น
เป็นอันว่าตอนนี้ ไม่มีใครรู้เรื่องที่เนินดิน
นอกจากพวกเราสี่คน

ตกเย็น เราพากันไปนั่งรอหลวงปู่ที่กุฏิ

หลวงปู่กลับขึ้นกุฏิ ไม่มีสีหน้าประหลาดใจ
ยังส่งยิ้มมาที่เราทุกคน
พวกเราก้มลงกราบพร้อมกัน
หลวงปู่: เจริญสุขเถอะโยม มากันพร้อมหน้าแล้วซินะ เอาล่ะ
มารับนี่ไป

หลวงปู่ยื่นผ้าสีแดงให้เพื่อนคนที่สี่

หลวงปู่ : จงติดตัวไว้อย่าให้ห่าง

หลวงปู่: เอาล่ะทีนี้จงฟังอาตมาให้ดี
พรุ่งนี้พวกโยมทุกคนหลังจากกลับถึงเชียงใหม่แล้ว ให้
กลับไปที่เชิงตะกอนเก่า นำน้ำมนต์นี้ราดลงรอบๆเชิงตะกอน
และบนยอด
แต่ต้องทำใน
เวลาหลังเที่ยงคืน จากนั้นให้โยมจุดธูปคนละ 1 ดอก
สวดมนต์ตามที่อาตมาจดให้นี้จนครบ
สามรอบ แล้วนำธูปขึ้นไปปักที่เชิงตะกอน
ไม่ว่าจะเห็นหรือพบเจออะไร
อย่าได้หยุดสวดมนต์
และในวันรุ่งขึ้น ให้พวกโยมกลับมาหาอาตมา
และถือศีลอยู่ที่วั

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์