ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ อันตรายที่อย่ามองข้าม

ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ อันตรายที่อย่ามองข้าม



ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ อันตรายที่อย่ามองข้าม แพทย์แนะทางที่ดีควรหมั่นดูแลสุขภาพ พักผ่อนให้เเพียงพอ ไม่เครียด และออกกำลังกายเป็นประจำ

จากการที่สหพันธ์หัวใจโลก ได้กำหนดให้วันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนกันยายนเป็น  "วันหัวใจโลก"  เพื่อให้ประชากรโลกตระหนักถึงภยันตรายจากโรคหัวใจ   หลายหน่วยงานจึงออกมาขานรับที่จะช่วยกันให้ความรู้เรื่องโรคหัวใจ และ "ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ" ถือเป็นอีกหนึ่งโรคหัวใจที่ทุกคนไม่ควรมองข้าม เมื่อใดที่เกิดภาวะหัวใจเต้นช้าหรือเร็วมากเกินไป หรือเรียกว่า "ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ" ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริงและหาแนวทางรักษาที่ถูกต้องโดยเร็ว

ศ.นพ.เกียรติชัย ภูริปัญโญ ผู้อำนวยการศูนย์หัวใจ โรงพยาบาลเวชธานี เผยถึงภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะไว้อย่างน่าสนใจว่า

หัวใจเต้นผิดจังหวะเป็นโรคหัวใจที่พบได้บ่อย ส่วนมากพบในผู้ใหญ่ ผู้ป่วยจะมีอาการหัวใจเต้นแรง ใจสั่น หรือเต้นสะดุด บางครั้งมีอาการเหมือนหัวใจหยุดเดินไป 1-2 จังหวะ ในรายที่เป็นรุนแรงอาจมีอาการเป็นลมหมดสติและเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ ส่วนการตรวจวินิจฉัยสามารถทำได้หลายวิธี ด้วยวิธีทางการแพทย์ เช่น การตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง ตรวจด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ ชนิด CT 64 Slice และ Cardiac MRI รวมทั้งการฉีดสีผ่านสายสวนหัวใจ เป็นต้น

ส่วนการรักษานั้นต้องวินิจฉัยอย่างรอบคอบและรักษาให้ตรงจุด เช่น กรณีที่การเต้นของหัวใจช้ากว่าปกติ  ควรรักษาด้วยการฝังเครื่องกระตุ้นหัวใจ  (Pacemaker)

เป็นเครื่องมือขนาด  4-5  เซนติเมตร  ที่ช่วยส่งพลังงานไฟฟ้าไปกระตุ้นหัวใจ ในขณะที่การรักษาผู้ป่วยหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดรุนแรง   ที่ให้ผลดีที่สุดคือการส่งไฟฟ้าพลังงานสูงผ่านหัวใจ   เพื่อให้สัญญาณไฟฟ้าหัวใจกลับมาปกติในทันที ซึ่งก็มีเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ  ชนิดผ่าตัดฝังติดตัวผู้ป่วย  ลักษณะคล้ายเครื่อง  Pacemaker  แต่มีขนาดใหญ่กว่า  2  เท่า  นอกจากนี้  ยังมีวิธีการจี้ด้วยไฟฟ้าผ่านคลื่นเสียงความถี่สูง  วิธีนี้เป็นการรักษาแบบไม่ต้องผ่าตัด  โดยผ่านสายสวนหัวใจชนิดพิเศษที่มีขั้วโลหะที่ส่วนปลาย

ศ.นพ.เกียรติชัยยังแนะนำผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะด้วยว่า   ควรหมั่นดูแลสุขภาพตนเอง พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด ออกกำลังกายเป็นประจำ หลีกเลี่ยงชา กาแฟ แอลกอฮอล์ หรือยากระตุ้นบางชนิดที่มีผลต่อการเต้นของหัวใจ ถ้าไม่แน่ใจควรปรึกษาแพทย์ผู้รักษาก่อนรับประทานยา เพื่อไม่ให้จังหวะหัวใจของคุณสะดุดลงก่อนวัยอันควร

เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์